กระแสรณรงค์แบนสินค้าไทยในกัมพูชา จุดร้าวใหม่ในความสัมพันธ์เพื่อนบ้าน

“เมื่อพรมแดนไม่ใช่แค่เส้นแบ่ง แต่กลายเป็นรอยร้าวในความรู้สึก”

เพียงไม่กี่วันมานี้ โลกออนไลน์ของกัมพูชาเริ่มปะทุไปด้วยกระแส “รณรงค์แบนสินค้าไทย” — คำง่าย ๆ ที่สะท้อนความซับซ้อนในความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานร่วมกัน ทั้งในยามสงบและในวันที่เมฆหมอกทางการเมืองบดบังฟ้า

จุดเริ่มต้นของการรณรงค์ครั้งนี้ เป็นผลสะท้อนจากความตึงเครียดในพื้นที่ชายแดน ซึ่งแม้จะเป็นเหตุการณ์เฉพาะจุด แต่กลับถูกขยายเสียงในโซเชียลมีเดีย เสริมทัพด้วยอารมณ์ความรู้สึกของคนรุ่นใหม่ ที่เติบโตมากับความทรงจำและเรื่องเล่าที่หลากหลาย บางโพสต์เรียกร้องตรงไปตรงมาให้ หยุดใช้สินค้าไทย บางโพสต์แฝงด้วยภาพจำและอารมณ์บาดลึกกว่านั้น

แต่ในอีกด้านหนึ่ง ข้อเท็จจริงทางเศรษฐกิจยังคงนิ่งสงบกว่ากระแสในโลกเสมือนจริง — เพราะในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคกัมพูชา สินค้าไทยยังคงแทรกซึมอยู่ในทุกซอกมุม ตั้งแต่ของใช้ประจำบ้านยันร้านกาแฟริมถนน ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ Café Amazon ที่ยังขยายสาขาในพนมเปญอย่างต่อเนื่อง และแบรนด์ชุดกีฬาไทยที่ยังอยู่คู่สนามฟุตบอลในลีกกัมพูชา

มันสะท้อนปรากฏการณ์หนึ่งที่นักสังคมศาสตร์เคยเตือน — ว่า “ความรู้สึก” กับ “ความเป็นจริงทางเศรษฐกิจ” ไม่ได้เดินไปในทิศทางเดียวกันเสมอ

เมื่อถามว่าการแบนสินค้าไทยครั้งนี้ จะได้ผลไหม?
คงต้องบอกว่า ในเชิง “อารมณ์สาธารณะ” ได้ผลทันที แต่ในเชิงพฤติกรรมผู้บริโภค อาจต้องรอดูกันต่อไป เพราะเศรษฐกิจของกัมพูชายังมีความเชื่อมโยงกับสินค้าบริการจากไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

และนี่ไม่ใช่ครั้งแรก — ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาก็เคยสะท้อนความเปราะบางนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน จากวิกฤตเขาพระวิหารเมื่อหลายปีก่อน จนถึงวันนี้ที่ พรมแดนไม่ได้เป็นแค่เส้นแบ่งทางภูมิศาสตร์ แต่ยังกลายเป็นเส้นแบ่งในใจของผู้คน

คำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่ “สินค้าจะถูกแบนไหม”
แต่คือ “เราจะมีทางเดินร่วมกันอย่างไร ในโลกที่พรมแดนถูกท้าทายด้วยเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และข้อมูลข่าวสาร?”

และในวันข้างหน้า บางทีสิ่งที่ต้องการมากที่สุด… อาจไม่ใช่แค่ข้อตกลงทางการค้า แต่เป็น ความไว้วางใจระหว่างผู้คน ต่างหาก

สินค้าไทย, รณรงค์แบนสินค้าไทย, กัมพูชา, ความสัมพันธ์ไทยกัมพูชา, การเมืองระหว่างประเทศ

นิติสงครามลามตระกูลชินฯ เป็นโดมิโน

ศึกคลื่น 29 มิถุนา ตลาดเปลี่ยนโฉม แต่กติกายังตามไม่ทัน