จีนจัดพิธีสวนสนามฉลองครบรอบ 80 ปีชัยชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 “สี จิ้นผิง” นำแสดงพลังร่วมกับ “วลาดิเมียร์ ปูติน” และ “คิม จอง-อึน” สะท้อนความแน่นแฟ้นของพันธมิตรตะวันออก ท่ามกลางการจับตาของนานาชาติ
เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2568 กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน กลายเป็นศูนย์กลางความสนใจจากทั่วโลก เมื่อรัฐบาลจีนจัดพิธีสวนสนามครั้งใหญ่ที่สุดในรอบทศวรรษ เนื่องในวาระครบรอบ 80 ปีแห่งชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีการแสดงยุทโธปกรณ์สมัยใหม่จำนวนมาก ณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน
ไฮไลต์ของพิธีคือการปรากฏตัวของ 3 ผู้นำระดับโลก ได้แก่ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน, ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย และคิม จอง-อึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ ทั้งสามเดินเรียงแถวเคียงข้างกัน โดยมีสี จิ้นผิงอยู่ตรงกลาง สะท้อนถึงการผนึกกำลังของชาติที่ต้องการสร้างขั้วอำนาจใหม่คานกับสหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตก


ในสุนทรพจน์เปิดพิธี สี จิ้นผิง เน้นว่าโลกกำลังอยู่บนเส้นทางเลือกระหว่าง “สันติภาพหรือสงคราม” พร้อมยืนยันว่าจีนจะเดินหน้าอย่างไม่อาจหยุดยั้ง การสวนสนามจึงไม่เพียงเพื่อรำลึกถึงประวัติศาสตร์ แต่ยังเป็นการแสดงศักยภาพและทิศทางอนาคตของกองทัพจีน
นักวิเคราะห์มองว่า นี่ไม่ใช่เพียงการเฉลิมฉลอง แต่เป็นการส่งสัญญาณถึงความแข็งแกร่งและความร่วมมือใกล้ชิดของจีนกับพันธมิตรสำคัญอย่างรัสเซียและเกาหลีเหนือ ความสัมพันธ์ระหว่างสีและปูตินถูกยกเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ที่แน่นแฟ้น หลังพบกันแล้วกว่า 40 ครั้ง ขณะที่การเข้าร่วมของคิม จอง-อึน ถือเป็นการยืนยันความสัมพันธ์จีน-เกาหลีเหนือที่ยังคงเหนียวแน่น แม้คิมจะไม่พบสีต่อหน้าสาธารณะมาตั้งแต่ปี 2562
ระหว่างพิธี ปูตินและคิมยังได้หารือทวิภาคีกว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง โดยปูตินกล่าวขอบคุณคิมที่สนับสนุนรัสเซียในสงครามยูเครน พร้อมเปิดเผยว่าเกาหลีเหนือส่งทหารกว่า 15,000 นายและกระสุนจำนวนมากเข้าสู่สมรภูมิ เพื่อแลกกับเงินทุนและความช่วยเหลือด้านการพัฒนาอาวุธ นอกจากนี้ ปูตินยังได้เชิญคิมเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการ
ปูตินยังส่งสัญญาณแข็งกร้าวต่อยูเครน โดยย้ำว่าหากยูเครนไม่ยอมรับเงื่อนไขสันติภาพ รัสเซียจะใช้กำลังทหารเดินหน้าตามเป้าหมาย พร้อมท้าทายประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีให้เจรจาที่กรุงมอสโก ซึ่งถูกมองว่าแทบเป็นไปไม่ได้

ขณะเดียวกัน อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ออกมาโพสต์โจมตีว่าจีน รัสเซีย และเกาหลีเหนือกำลังสมคบคิดต่อต้านสหรัฐฯ แต่ยืนยันว่าไม่กังวล เพราะกองทัพสหรัฐฯ แข็งแกร่งเกินกว่าที่จีนจะกล้าใช้กำลังโจมตี
การรวมตัวของ “สี-ปูติน-คิม” จึงไม่เพียงตอกย้ำอำนาจทางทหารของจีน แต่ยังสะท้อนถึงชัยชนะทางการทูตของสี จิ้นผิง ที่สามารถรวบรวมพันธมิตรสำคัญเพื่อสร้างสมดุลใหม่บนเวทีโลก


