วันที่ 9 กันยายน 2568 สำนักข่าวเคซีเอ็นเอของเกาหลีเหนือรายงานว่า คิม จองอึน ผู้นำสูงสุด ได้เดินทางไปกำกับการทดสอบ เครื่องยนต์ขีปนาวุธเชื้อเพลิงแข็งแรงขับดันสูงรุ่นใหม่ ที่ผลิตด้วยวัสดุคอมโพสิตคาร์บอนไฟเบอร์ คิมยกให้เป็น “การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่” ในการเสริมศักยภาพกองกำลังนิวเคลียร์เชิงยุทธศาสตร์ และคาดว่าจะถูกนำมาใช้กับ ขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นล่าสุด ฮวาซอง-20 ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาเต็มรูปแบบ
การทดสอบเครื่องยนต์รุ่นใหม่ของเกาหลีเหนือ
การทดสอบครั้งนี้จัดขึ้นโดยสำนักงานขีปนาวุธร่วมกับศูนย์วิจัยวัสดุเคมี ถือเป็นการทดสอบครั้งที่ 9 และยังเป็นการทดสอบครั้งสุดท้ายก่อนจะเข้าสู่การผลิตจริง รายงานระบุว่า เครื่องยนต์รุ่นใหม่มีแรงขับสูงสุดถึง 1,971 กิโลนิวตัน ซึ่งถือว่ามีศักยภาพเหนือกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่างมาก
คิม จองอึน เน้นย้ำว่าเครื่องยนต์นี้เป็น “ความสำเร็จเชิงยุทธศาสตร์” ที่จะยกระดับขีดความสามารถด้านขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ และแสดงถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่สามารถทัดเทียมประเทศมหาอำนาจด้านนิวเคลียร์
ฮวาซอง-20 หัวใจใหม่ของคลังแสงนิวเคลียร์
รายงานยังเชื่อมโยงถึงการที่ คิม จองอึน เพิ่งเยี่ยมชมสถาบันวิจัยผู้พัฒนาเครื่องยนต์เมื่อสัปดาห์ก่อน และประกาศเปิดตัว ฮวาซอง-20 (Hwasong-20) ซึ่งคาดว่าจะเป็นขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นล่าสุดที่ใช้เครื่องยนต์เชื้อเพลิงแข็งชนิดใหม่นี้
ฮวาซอง-20 ถูกมองว่าเป็น “หัวใจใหม่” ของคลังแสงนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ เนื่องจากสามารถยิงได้ไกลกว่าเดิม ใช้เวลาเตรียมการยิงสั้นลง และยากต่อการตรวจจับของระบบป้องกันขีปนาวุธของฝ่ายตรงข้าม

เปรียบเทียบกับการทดสอบก่อนหน้า
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2567 เกาหลีเหนือเคยทดสอบ ฮวาซอง-19 ซึ่งเป็นรุ่นที่ใช้เชื้อเพลิงแข็งเช่นกัน และถูกเรียกว่าเป็น “รุ่นอัพเกรดขั้นสุดท้าย” ในโครงการพัฒนาขีปนาวุธ แต่การสร้างเครื่องยนต์รุ่นใหม่ในปีนี้ถูกมองว่าเป็นตัวเร่งให้โครงการฮวาซอง-20 ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และอาจทำให้สมดุลทางทหารในภูมิภาคตึงเครียดยิ่งขึ้น
นักวิเคราะห์ระบุว่า หากเกาหลีเหนือประสบความสำเร็จในการติดตั้งเครื่องยนต์ใหม่นี้กับขีปนาวุธ ฮวาซอง-20 จริง ก็จะเพิ่มแรงกดดันต่อเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ ที่มีฐานทัพในเอเชียตะวันออก
ผลกระทบด้านความมั่นคงในภูมิภาค
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี และความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างเกาหลีเหนือกับรัสเซีย การพัฒนาขีปนาวุธรุ่นใหม่ถูกมองว่าเป็นสัญญาณเตือนต่อประชาคมโลก โดยเฉพาะสหรัฐฯ และชาติพันธมิตร ที่จับตาความเป็นไปได้ของการทดสอบขีปนาวุธข้ามทวีปเต็มรูปแบบในอนาคตอันใกล้