เมื่อคืนวันที่ 30 กันยายน 2568 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.9 บริเวณชายฝั่งทางตอนกลางของประเทศ ฟิลิปปินส์ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 ราย อาคารหลายจุดพังเสียหาย หน่วยกู้ภัยเร่งเข้าค้นหาผู้สูญหายและประเมินความเสียหายเพิ่มเติม ขณะที่เจ้าหน้าที่เตือนให้ประชาชนเฝ้าระวังอาฟเตอร์ช็อกและการเปลี่ยนแปลงของระดับทะเล
จุดศูนย์กลางและแรงสั่นสะเทือนที่รุนแรง
จากข้อมูลของ สำนักสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐฯ (USGS) จุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวอยู่ลึกลงไป 10 กิโลเมตร ห่างจากเมือง กาลาเป ในจังหวัดโบโฮล ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 11 กิโลเมตร โดยต่อมาพบอาฟเตอร์ช็อกหลายครั้งซึ่งมีความรุนแรงสูงสุดอยู่ที่ระดับแมกนิจูด 6
พื้นที่ในภูมิภาค วิซายัส (Visayas) ได้รับแรงสั่นสะเทือนอย่างหนัก อีกทั้งหลายเขตเกิดไฟฟ้าดับพร้อมกับการเสียหายของระบบโครงสร้างพื้นฐาน เช่น หม้อแปลงไฟฟ้า อาคาร และถนนหลายสาย

ความเสียหายและการสูญเสียของชีวิต
จนถึงปัจจุบัน มีรายงานผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 ราย ในหลายจังหวัด โดยเฉพาะในเขต เซบู (Cebu) ซึ่งได้รับผลกระทบหนักที่สุด
ในเมือง เซบูซิตี้ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ มีรายงานว่าแรงสั่นสะเทือนส่งผลให้หม้อแปลงที่ติดตั้งบนเสาพังระเบิด ขณะที่ในเขต วิลลาบา (Villaba) จังหวัดเลย์เต เจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่าแรงสั่นสะเทือนครองเวลาประมาณ 10 วินาทีและทำให้สถานีตำรวจสั่นไหวจนเห็นได้ชัด
นอกจากนี้ อาคารพาณิชย์ โรงเรียน และอาคารสาธารณะในหลายเมืองได้รับความเสียหาย บางจุดพังถล่ม หน่วยกู้ภัยกำลังตรวจสอบว่ามีผู้ติดอยู่ใต้ซากหรือไม่
การตอบสนองภาครัฐและการแจ้งเตือนภัย
สถาบันภูเขาไฟวิทยาและแผ่นดินไหวของฟิลิปปินส์ (Phivolcs) ได้แจ้งเตือนให้ประชาชนระวังกระแสน้ำแรงและการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเลอย่างฉับพลัน เนื่องจากอาจเกิดคลื่นที่ผิดปกติ แม้ว่าตอนหลังจะถอนคำเตือนภัยสึนามิออกไปแล้ว
ทางจังหวัด เซบู และรัฐบาลท้องถิ่นได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่กู้ภัย ทีมแพทย์ และหน่วยสนับสนุนอื่น ๆ เข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย พร้อมขอความร่วมมือประชาชนในการหลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยงจนกว่าจะมีการประเมินโครงสร้างอาคาร
ประเด็นความเสี่ยงและบทเรียนสำหรับอนาคต
ฟิลิปปินส์ตั้งอยู่ในเขต วงแหวนแห่งไฟ (Ring of Fire) จึงประสบเหตุแผ่นดินไหวและภูเขาไฟอยู่เป็นประจำ การรับมือทั้งในแง่ของการออกแบบอาคารให้รองรับแรงสั่นสะเทือน การมีระบบแจ้งเตือนล่วงหน้า และการเตรียมพร้อมด้านการช่วยเหลือฉุกเฉิน จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับภาครัฐและประชาชน
แผ่นดินไหวครั้งนี้เปิดให้เห็นถึงความไม่พร้อมของโครงสร้างพื้นฐานในบางพื้นที่ และความจำเป็นที่รัฐต้องเร่งเสริมความแข็งแรงของอาคาร การวางมาตรการป้องกันภัย และเพิ่มการรับรู้ของประชาชนถึงวิธีปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุ