มาซูด เปเซชเคียน ประธานาธิบดีอิหร่าน ประกาศสร้างโรงงานนิวเคลียร์ใหม่หลังถูกสหรัฐฯ โจมตี ย้ำใช้พลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติและพัฒนาเศรษฐกิจชาติ
มาซูด เปเซชเคียน ประธานาธิบดีอิหร่าน ประกาศระหว่างตรวจเยี่ยมสำนักงานพลังงานปรมาณูแห่งอิหร่านว่า รัฐบาลเตรียมสร้างโรงงานนิวเคลียร์แห่งใหม่ที่มีศักยภาพมากกว่าเดิม หลังโรงงานหลักหลายแห่งถูก สหรัฐอเมริกา โจมตีทำลายเมื่อกลางปี 2568 ย้ำชัดว่าโครงการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อการใช้พลังงานในเชิงสันติ ไม่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ พร้อมประกาศเดินหน้าอย่างมั่นใจแม้เผชิญแรงกดดันจากนานาชาติ
อิหร่านท้าทายสหรัฐฯ เดินหน้าพัฒนาโครงการนิวเคลียร์ใหม่
เปเซชเคียน กล่าวระหว่างการพบผู้บริหารระดับสูงของอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ว่า อิหร่านจะสร้างโรงงานใหม่ให้ “แข็งแกร่งกว่าที่เคย” เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสามารถทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของชาติ โดยย้ำว่า “การทำลายอาคารหรือโรงงานไม่ใช่ปัญหา เพราะความรู้ยังคงอยู่กับนักวิทยาศาสตร์ของเรา เราจะสร้างขึ้นใหม่ให้ดีกว่าเดิม”
ถ้อยแถลงดังกล่าวถือเป็นการตอบโต้เชิงสัญลักษณ์ต่อคำขู่ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เคยเตือนว่าจะโจมตีอีกครั้งหากอิหร่านเริ่มโครงการนิวเคลียร์ที่ถูกทำลายไปแล้ว ทั้งนี้ อิหร่านยังคงยืนยันว่าโครงการทั้งหมดของตนมีเป้าหมายเพื่อการแพทย์ อุตสาหกรรม และสิ่งแวดล้อม ไม่ได้มุ่งพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์แต่อย่างใด
ปฏิบัติการ “มิดไนต์แฮมเมอร์” จุดเริ่มความขัดแย้ง
ก่อนหน้านี้ในเดือนมิถุนายน 2568 สหรัฐฯ ได้เปิดปฏิบัติการลับชื่อรหัส “มิดไนต์แฮมเมอร์” ใช้ระเบิดทะลวงบังเกอร์ GBU-57 จำนวน 14 ลูก น้ำหนักลูกละ 14 ตัน ทิ้งใส่โรงงานนิวเคลียร์หลัก 3 แห่งของอิหร่าน ได้แก่ ฟอร์โดว์ นาทานซ์ และอิสฟาฮาน โดยระบุว่าเป็นการทำลายศูนย์กลางโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
ทรัมป์ อ้างว่าปฏิบัติการดังกล่าวโดยเครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน B-2 จำนวน 7 ลำ สามารถทำลายโรงงานได้เกือบทั้งหมด อย่างไรก็ตาม อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ปฏิเสธคำกล่าวอ้าง พร้อมยืนยันว่าความเสียหายไม่ได้รุนแรงเท่าที่สหรัฐฯ กล่าว
ย้ำเดินหน้าโครงการเพื่อสันติภาพและเศรษฐกิจ
ประธานาธิบดี เปเซชเคียน กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและความมั่นคงทางพลังงาน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อผลิตพลังงานสะอาดและลดปัญหาสิ่งแวดล้อม พร้อมเน้นย้ำว่าการฟื้นฟูโครงการครั้งนี้จะสร้างงานให้คนอิหร่านและเพิ่มศักยภาพทางเทคโนโลยีของประเทศในระยะยาว
แม้สหรัฐฯ และพันธมิตรในตะวันตกยังคงจับตาอย่างใกล้ชิด แต่อิหร่านยืนยันจะดำเนินการตามหลักกฎหมายสากลและมาตรฐานของ สำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) เพื่อสร้างความโปร่งใสในทุกขั้นตอน


