เหตุผลที่ “เลือกตั้งสหรัฐ” เป็นชัยชนะของตลาดหุ้น ไม่ว่าฝ่ายไหนจะชนะก็ตาม

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนพฤศจิกายนนี้จะเป็นชัยชนะของตลาดหุ้น ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายคว้าชัยก็ตาม – นี่คือการวิเคราะห์ของบริษัทวิจัย เนด เดวิส รีเสิร์ช (Ned Davis Research) ที่เผยแพร่ออกมาในช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา 

น่าสนใจว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่สนับสนุนให้ เนด เดวิส รีเสิร์ช สรุปออกมาแบบนี้ 

ตามการรายงานของ บิสซิเนส อินไซเดอร์ (Business Insider) บริษัทวิจัย เนด เดวิส รีเสิร์ช กล่าวในบทวิเคราะห์ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2024 ว่า นโยบายทางเศรษฐกิจของทั้งกมลา แฮร์ริส (Kamala Harris) ผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต และโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trumpt) ผู้ชิงตำแหน่งจากพรรครีพับลิกัน “จะกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งคู่” 

เวเนตา ดิมิโตรวา (Veneta Dimitrova) นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของ เนด เดวิส รีเสิร์ช กล่าวว่า ทั้งรัฐบาลแฮร์ริสและรัฐบาลทรัมป์จะใช้งบประมาณโดยตั้งงบฯขาดดุลราว 220,000 ล้านดอลลาร์ถึง 650,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งจะกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ เมื่อบวกกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด (Federal Reserve) จะส่งผลให้เกิดสภาพแวดล้อมที่ความเสี่ยงต่ำ (Risk-On) ในปี 2025 ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้น

ส่วนหนึ่งในนโยบายหาเสียงด้านการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญของ กมลา แฮร์ริส ได้แก่ ขยายระยะเวลาการลดภาษีเงินได้ตามกฎหมาย Tax Cuts and Jobs Act (TCJA) ที่ออกเมื่อปี 2017 (เดิมจะบังคับใช้ถึงสิ้นปี 2025) สำหรับครัวเรือนที่มีรายได้น้อยกว่า 400,000 ดอลลาร์ต่อปี, เพิ่มเครดิตภาษีการดูแลเด็กเป็น 3,600 ดอลลาร์ ต่อเด็ก 1 คน และ 6,000 ดอลลาร์ ต่อทารกแรกเกิด 1 คน และยกเลิกการเก็บภาษีเงินได้จากเงินทิปของคนทำงานบริการ  

ส่วนฝั่งทรัมป์ มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญ คือ ขยายระยะเวลาการลดภาษีเงินได้ตามกฎหมาย Tax Cuts and Jobs Act (TCJA) สำหรับทุกคน, เพิ่มเครดิตภาษีการดูแลเด็กเป็น 5,000 ดอลลาร์ ต่อเด็ก 1 คน, ยกเลิกภาษีรายได้จากสิทธิประโยชน์ประกันสังคมสำหรับผู้สูงอายุ และทรัมป์สนับสนุนให้ยกเลิกการเก็บภาษีเงินได้จากเงินทิปด้วยเช่นกัน 

เนด เดวิส รีเสิร์ช ประเมินนโยบายเศรษฐกิจของผู้สมัครทั้งสองว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์และแฮร์ริสซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะถูกนำไปใช้จริง จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์สหรัฐตามกฎหมายที่ประกาศใช้ไปแล้วในช่วงการบริหารของรัฐบาล โจ ไบเดน (Joe Biden) 

“มาตรการกระตุ้นดังกล่าวจะเสริมแรงหนุนเข้ากับการใช้จ่ายอื่น ๆ ของรัฐบาลที่กำลังอยู่ในแผนจากกฎหมายที่ไบเดนลงนามแล้ว ซึ่งรวมถึงกฎหมายว่าด้วยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและการจ้างงาน (IIJA) กฎหมายลดเงินเฟ้อ (IRA) และกฎหมายชิป (CHIPS Act) ซึ่งกำหนดให้มีการใช้จ่ายงบประมาณโดยตรงของรัฐบาลเป็นวงเงินประมาณ 357,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จนถึงปี 2031” เวเนตา ดิมิโตรวา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของ เนด เดวิส กล่าว

“ไม่ว่าใครจะชนะการเลือกตั้งก็ตาม สิ่งนี้เป็นแรงลมหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและตลาดทุนในปี 2025”

ถึงอย่างนั้นก็ตาม เนด เดวิส รีเสิร์ช มองถึงด้านที่น่าเป็นกังวลด้วยเช่นกันว่า เงินดอลลาร์สหรัฐน่าจะอ่อนค่าในปีหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐเพิ่มมากขึ้น ซึ่งการที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงนั้นมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อผลกำไรของบริษัทและราคาหุ้นสหรัฐ 

นอกจากนั้น แม้ว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์อาจส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้น แต่ก็อาจกระตุ้นให้เงินเฟ้อสูงขึ้นอีกครั้ง ซึ่งผลการเลือกตั้งจะมีผลอย่างยิ่งต่อแนวโน้มความเคลื่อนไหวของเงินเฟ้อ เพราะหากทรัมป์ชนะอาจมีการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าแบบทั้งกระดานตามนโยบายที่เขาประกาศไว้ ซึ่งจะทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น แต่หากแฮร์ริสชนะอาจจะมีการใช้มาตรการห้ามขึ้นราคาสินค้าจำเป็น เช่น อาหาร น้ำมัน ซึ่งจะช่วยลดเงินเฟ้อได้ 

อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ยังเป็นข้อเสนอ ส่วนจะกลายเป็นกฎหมายหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายใดจะชนะครองเสียงข้างมากในรัฐสภา  

“ท้ายที่สุดแล้ว โครงสร้าง (สัดส่วนผู้แทนของแต่ละพรรค) ในรัฐสภาซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงในการเลือกตั้งครั้งนี้ จะเป็นตัวกำหนดความเป็นไปได้ของข้อเสนอเหล่านี้ และอาจทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้จ่ายและการเปลี่ยนแปลงด้านภาษี” นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของ เนด เดวิส กล่าว

กางประวัติศาสตร์ ประชาธิปัตย์ ผ่าน 9 หัวหน้าพรรค จาก ควง ถึง เฉลิมชัย

งานวิจัยเผย ขีดความสามารถชิปจีน SMIC ตามหลังไต้หวัน TSMC เพียง 3 ปีเท่านั้น