“ประชาชาติธุรกิจ” รวบรวม 10 ข้อที่น่าสนใจจากการวิเคราะห์นโยบาย ผลกระทบต่อโลกและไทย รวมถึงคดีความและอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับโดนัลด์ ทรัมป์ แคนดิเดตจากพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ โดย ศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจากงาน US Election 2024 หรือ เจาะลึกศึกชิงทำเนียบขาว จัดโดยมติชนและพันธมิตรที่อาคารเกสร ทาวเวอร์ เมื่อ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา
โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันและอดีตประธานาธิบดีสหรัฐ โพสต์ท่าจบ ในช่วงท้ายของการหาเสียง “Make America Great Again” หรือ “ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง” ที่เมืองลาโทรบ รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อ 19 ตุลาคม 2024 (รอยเตอร์)
1.นโยบายที่กระทบใจโหวตเตอร์ทรัมป์มากที่สุดคือ นโยบายกระเป๋าตังค์ (Power of Purse) หรือนโยบายเศรษฐกิจ โดยหลักแล้วที่ทรัมป์ใช้มาตลอดและใช้ได้ผลพอสมควรในการหาเสียงเลือกตั้งปี 2016 คือนโยบายภาษีและทำให้เป็นจริงผ่านกฎหมายปฏิรูปภาษีสหรัฐ หรือ Tax cuts and Jobs act of 2017 ของทรัมป์ โดยลงนามเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2017 และทรัมป์บังคับใช้ตั้งแต่ปี 2018
ตามกฎหมายนี้คือการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลลงมาจาก 35 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 21 เปอร์เซนต์ แต่กระนั้นยังไม่ใช่จุดเด่นหลักของทรัมป์ ซึ่งจุดเด่นหลักคือหนนี้ ทรัมป์จะลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลลงอีกจาก 21 เปอร์เซ็นต์ลงเหลือ 15 เปอร์เซ็นต์ แต่แฮร์ริสจะขึ้นเป็น 28 เปอร์เซ็นต์ นี่คือจุดขายหลักที่จะกระทบกระเป๋าตังค์ประชาชนที่สุด
2.นโยบายผู้อพยพ ไม่ใช่แค่เรื่องผู้อพยพเท่านั้น แต่กระทบต่อความมั่นคงภายใน ความปลอดภัยของคนอเมริกันเอง ทรัมป์ชูประเด็นว่า คามาลา แฮร์ริส ตัวแทนจากพรรคเดโมแครตได้รับมอบหมายให้ดูแลเรื่องผู้อพยพแต่ไม่ได้ทำงาน แม้กระทั่งบอกว่าแฮร์ริสไม่เคยไปเยี่ยมรัฐที่อยู่ชายแดนเลยด้วยซ้ำ ทางเดโมแครตพยายามจะแก้จุดอ่อนตรงนี้ แต่ว่ามีประเด็นหลักฐานค่อนข้างชัดพอสมควร
ในช่วงรัฐบาลไบเดน มีจุดพีกที่สุด คือประมาณปี 2023 พบว่ามีผู้อพยพทั้งที่เข้ามาแบบถูกกฎหมายและผิดกฎหมายเข้ามาในพรมแดนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ประมาณกว่า 300,000 คน และที่อยู่หน้าด่านชายแดนอีกนับล้านคน ซึ่งสมัยทรัมป์ไม่มากเท่านี้ และทรัมป์มองว่าผู้อพยพแย่งระบบสาธารณสุขและที่สำคัญการก่ออาชญากรรม จึงกระทบใจคนที่มองว่า “อเมริกันเฟิร์สต์” คือต้องดูแลคนอเมริกันก่อน
ขณะที่แฮร์ริสบอกว่า ผู้อพยพจะได้สิทธิประโยชน์จากเฮลแคร์ด้วยซ้ำไป ทรัมป์พยายามอย่างมากในปี 2016 ที่จะยกเลิก “โอบามาแคร์” แต่ทำไม่สำเร็จ ครั้งนี้ทรัมป์ไม่ได้ชูประเด็นนี้ และนี่คือจุดยืนที่ต่างกันระหว่างสองพรรคในเรื่องการให้มียูนิเวอร์เซลเฮลธ์แคร์ (Universal Healthcare) หรือนโยบายที่คนทุกคนควรจะต้องมีแผนประกันสุขภาพ
3.นโยบายสิ่งแวดล้อม อีกประเด็นหลักที่ต่างจากแฮร์ริส กล่าวคือในรัฐหลักที่เรียกว่าสะวิงสเตตอย่างรัฐเพนซิลเวเนีย เป็นรัฐที่มีอุตสาหกรรมขุดเจาะน้ำมันใหญ่เป็นอันดับสองรองจากรัฐเท็กซัส ทรัมป์มองในแง่สิ่งแวดล้อม คือทรัมป์ไม่เชื่อเรื่องโลกร้อนอยู่แล้ว จะเห็นได้จากการถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีส โดยจุดต่างสำคัญ ทรัมป์พยายามบอกว่า แฮร์ริสโปรเรื่องสิ่งแวดล้อมเกินไปและทรัมป์พยายามหาเสียงว่า ตกลงแล้ว การขุดเจาะน้ำมันในเพนซิลเวเนียจะยังให้มีอยู่หรือไม่
4.ปัญหาที่ทรัมป์แก้ไม่ตก คือสิทธิในการทำแท้ง กล่าวคือ แม้ว่าทรัมป์บอกว่า ผมไม่ได้จะสนับสนุนเรื่องนี้อย่างจริงจังนัก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัญหาที่ถือเป็นตราบาปของทรัมป์นี้เกิดมาจากสมัยที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูงสุด (Supreme court) 3 คน จาก 6 คน ซึ่งทั้ง 3 คนออกเสียงยกเลิกการสนับสนุนการทำแท้งทั้งสิ้น กล่าวคือทั้งสามผู้พิพากษาคว่ำคำตัดสินคดีโรและเวด (Roe v Wade) ที่ศาลสูงสุดเคยพิพากษาเมื่อปี 1973 ว่าการทำแท้งเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญและถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่สนับสนุนให้การทำแท้งเป็นเสรีภาพของคนทั้งประเทศ จุดนี้เป็นจุดสำคัญที่ทำให้แฮร์ริสจะได้ฐานเสียงสำคัญจากผู้หญิงไป
5.ใครที่ชอบทรัมป์ คือผู้ชายผิวขาวเป็นส่วนใหญ่ ถือเป็นคุณลักษณะร่วมของคนที่ชอบทรัมป์ แต่ที่น่าสนใจคือแล้วผู้ชายผิวดำ กลายเป็นโจทย์ใหญ่ของแฮร์ริส เพราะผู้ชายผิวดำไม่ได้จะเลือกแฮร์ริส ด้วยความที่แฮร์ริสเป็นผู้หญิง และถามว่าจะไปเลือกทรัมป์หรือไม่ ก็อาจจะไม่ได้เลือก แต่คนเหล่านี้คือจะไม่ออกไปใช้สิทธิ์ ซึ่งปกติคนผิวดำออกไปใช้สิทธิ์น้อยอยู่แล้ว ซึ่งจะเห็นว่า 2-3 วันที่ผ่านมา อดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามาออกมากระตุ้นกันเลยทีเดียว
นอกจากผู้ชายผิวขาวแล้ว หากพูดถึงกลุ่มประชากร ประชากรกลุ่มใหญ่ที่สุดที่สนับสนุนรีพับลิกันอย่างเหนียวแน่นคือ กลุ่มศาสนา และคนเหล่านี้มีอิทธิพลต่อความคิดของประชากรอย่างมาก
จุดต่างที่สำคัญอีกข้อระหว่างสองพรรคคือ คนที่อยู่ในเมืองกับคนที่อยู่ในชนบทหรือชานเมือง กลุ่มชานเมืองและคนในชนบทเป็นฐานคะแนนสำคัญของทรัมป์ หากมองกลุ่มประชากรสหรัฐอเมริกาเป็นสามเหลี่ยมพีระมิดแล้ว กลุ่มที่สนับสนุนทรัมป์หรือรีพับลิกันคือกลุ่มบนสุดที่เป็นผู้ประกอบการ กลุ่มทุนทั้งหลายที่จะได้ประโยชน์จากการลดภาษีของทรัมป์จาก 21 เปอร์เซ็นต์ลงมาอีกราว 5 เปอร์เซ็นต์ และทรัมป์เสนอด้วยว่า คนที่ได้ประโยชน์จากกองทุนบำเหน็จบำนาญไม่ต้องเสียภาษีด้วย ดังนั้น ตรงนี้ตรงใจทั้งคนส่วนบนสุดและล่างสุด ในขณะที่ตรงกลาง คือชนชั้นกลางสนับสนุนเดโมแครต
6.คนที่ไม่ชอบทรัมป์ แม้ทราบกันดีว่าทรัมป์มีแฟนคลับเหนียวแน่น แต่ในขณะเดียวกันคนที่ไม่ชอบทรัมป์ก็มีอยู่จำนวนมากจริงๆ คนเหล่านี้มองว่า ทรัมป์เป็นภัยต่อประชาธิปไตย ดังนั้นสิ่งที่ทีมหาเสียงแฮร์ริสเลือกใช้ในทางยุทธศาสตร์คือเลี่ยงการพูดว่าทรัมป์เป็นภัยประชาธิปไตยคือพยายามทำให้ทรัมป์ลดความน่ากลัวลง โดยมีทิม วอลซ์ รันนิ่งเมตของแฮร์ริสมีบทบาทนำในเรื่องนี้ กล่าวคือแทนที่จะมองว่าทรัมป์เป็นภัยก้อนใหญ่มหึมาที่สร้างความกลัว เทคนิกที่ทีมหาเสียงแฮร์ริสใช้คือมองว่า ทรัมป์เป็นมนุษย์ประหลาดแทน
7.คดีความของทรัมป์ ทั้งคดีที่มีการตัดสินไปแล้วและคดีที่รอการตัดสิน ในส่วนคดีที่ตัดสินไปแล้ว เป็นคดีอาญาตัดสินโดยศาลรัฐนิวยอร์ก คือคดียักยอกเงินบริจาคให้พรรคการเมืองในการหาเสียงปี 2016 และคดีที่รอการตัดสินได้แก่ คดียักยอกเงินการปลอมแปลงเอกสาร ซึ่งอย่างหลังคณะลูกขุนตัดสินไปแล้วว่าทรัมป์มีความผิดอย่างเป็นเอกฉันท์ จริงๆแล้วศาลจะมีคำพิพากษาในเดือนกันยายนแต่ตอนนี้เลื่อนไปเป็นเดือนพฤศจิกายนนี้ หลังการเลือกตั้งไปแล้ว
อีกคดีที่เรียกสั้นๆว่าคดี 6 มกรา ซึ่งคดีนี้ล่าสุดศาลสูงสุดบอกว่าประธานาธิบดีมีเอกสิทธิ์ความคุ้มครอง แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า คำวินิจฉัยจะทำให้ทรัมป์ปลอดภัยได้ทั้งหมด เพราะคดีเกิดในวอชิงตันดีซี ดังนั้นศาลวอชิงตันดีซีต้องเป็นผู้วินิจฉัยว่าสิ่งที่ทรัมป์ทำนั้นทำในนามประธานาธิบดีหรือทำในนามส่วนตัว ถ้าทำในนามส่วนตัวก็จะไม่ได้เอกสิทธิ์ความคุ้มครอง และคดีอื่นๆเช่น เอาเอกสารลับของทางราชการมาไว้ที่บ้าน
คดีฉ้อโกงทางธุรกิจ ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจศาลรัฐนิวยอร์ก ประเด็นหลักคือถ้าเป็นคดีที่เกิดในระดับรัฐ ทรัมป์ไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องเลยตามหลักระบอบสหพันธรัฐ (Federalism) แต่ถ้าเป็นคดีที่เกิดในระบบรวมทั้งประเทศ อันนี้ทรัมป์สามารถใช้อำนาจของประธานาธิบดีทำให้คดีหายไปได้ ดังนั้นเป็นคดีที่ทรัมป์ไม่สามารถแทรกแซงได้ อย่างมากก็ขอให้ชะลอ
8.มองความเป็นไปได้ โอกาสที่จะชนะ โดยอาศัยการพิจารณาจากตอนนี้สะวิงสเตตเหลือประมาณ 7 รัฐ จากเมื่อก่อนที่มี 14-15 รัฐ แต่หากดูจริงๆจะเห็นว่าเหลือราว 3 รัฐ เช่น เนวาดา มิชิแกนและอาจมีโอไฮโอ ซึ่งโอไฮโอเป็นพื้นที่ของแคนดิเดตรองประธานาธิบดีแวนซ์ เนื่องจากทรัมป์ไปพูดว่าผู้อพยพผิดกฎหมายในรัฐนี้กินหมาแมวจึงทำให้ไม่ได้เป็นพื้นที่ของรีพับลิกันเท่าไรนัก
อาจารย์สิริพรรณชวนมองว่า เวลาดูเลือกตั้งประธานาธิบดีต้องดูการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาประกอบกันด้วย เนื่องจากใครจะได้คุมสภาคองเกรสมีผลอย่างมากต่อการทำงาน ถ้าจะให้คาดเดามันจะเกิดการพลิก ตอนนี้รีพับลิกันคุมสภาผู้แทนราษฎร เชื่อว่าจะกลับเป็นเดโมแครตที่คุมสภาผู้แทนราษฎร และรีพับลิกันจะคุมวุฒิสภา ซึ่งจะกลายเป็นโจทย์ใหญ่ของแฮร์ริสหากแฮร์ริสชนะขึ้นมา เพราะโอกาสที่จะแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูงสุดอาจจะถูกขัดขวางได้
9.ผลกระทบต่อโลกเป็นอย่างไร มาจากนโยบายการขึ้นอัตราภาษีสินค้าระหว่างประเทศเรียกว่า สงครามการค้า (Trade war) ที่มีความสำคัญมากขึ้น ทำให้เปลี่ยนโฉมระเบียบโลกทางการค้าใหม่ เพราะการขึ้นภาษีการค้าเป็น 10-20 เปอร์เซ็นต์กระทบทั่วทั้งโลก สิ่งที่น่าสนใจคือการที่ทรัมป์หาเสียงโดยบอกว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทุกประเทศราว 10-20 เปอร์เซ็นต์ (ยกเว้นจีนในอัตรา 60 เปอร์เซนต์) ซึ่งเป็นอัตราที่สูงมาก เพราะปัจจุบันเก็บที่ 3 เปอร์เซ็นต์
อัตราภาษีต่อจีน ทรัมป์เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2018 เมื่อไบเดนขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีในปี 2020 พบว่า ไบเดนคงไว้ทั้งหมด ดังนั้นจริงๆแล้วทั้งทรัมป์ ไบเดนหรือแฮร์ริสมองเหมือนกันคือ จีนเป็นภัยคุกคามสำคัญทั้งในเชิงเศรษฐกิจและการเมืองของโลกด้วย ดังนั้นสิ่งที่ไบเดนทำนั้นไม่ได้ต่างจากสมัยทรัมป์เป็นประธานาธิบดีและเชื่อว่าแฮร์ริสก็จะคงนโยบายดังกล่าวไว้เช่นกัน
หากทรัมป์ชนะส่งผลต่อการจัดระเบียบโลกในทางความมั่นคงอย่างแน่นอน ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือหรือนาโตจะเป็นแบบไหน เพราะทรัมป์บอกว่าสมาชิกนาโตต้องจ่ายค่าสมาชิก อย่าหวังพึ่งพาอเมริกาฝ่ายเดียวจนเกินไปนัก
ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับรัสเซีย แม้ปูตินจะออกมาบอกว่าผมเชียร์แฮร์ริส เพราะผมชอบเสียงหัวเราะของเธอ แต่ถ้ามองจริงๆ ทำไมปูตินพูดแบบนั้น อาจารย์รัฐศาสตร์ จุฬาฯมองว่า เพราะลึกๆแล้วปูตินต้องการให้ทรัมป์ขึ้นมา เพื่อจะได้ลดเงินช่วยเหลือยูเครนลง
สำหรับสงครามอิหร่านกับอิสราเอล ตนเชื่อว่า อิหร่านอยากให้แฮร์ริสขึ้นมามากกว่า เพราะทรัมป์น่าจะมีทิศทางที่แข็งกร้าวกับอิหร่าน
10.นโยบายภาษีสินค้าระหว่างประเทศส่งผลกระทบต่อไทยพอสมควร อาจารย์จุฬาฯกล่าวอย่างกว้างๆว่า ทรัมป์เสนอจะเก็บ 10-20 เปอร์เซนต์ถือเป็นอัตราที่สูงมาก กระทบต่อผู้ส่งออกไทยที่ต้องจ่ายค่าภาษีนำเข้ามากขึ้นและผู้ประกอบการไทยอาจขึ้นราคาสินค้า ทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น กระทบต่อผู้บริโภค

ข้อมูล/ภาพ : ประชาชาติธุรกิจ