โรงงานเหล็กและโรงกลั่นน้ำมันจีนขาดทุนรวมกัน 66,000 ล้านหยวน (ราว 1.68 แสนล้านบาท) ใน 9 เดือนแรกของปี 2024 เนื่องจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ที่ยืดเยื้อทำให้ความต้องการใช้เหล็กหาย และการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างรวดเร็วทำให้อุปสงค์น้ำมันอ่อนแอ
วันที่ 28 ตุลาคม 2024 บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า ผู้ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์สัญชาติจีนที่เน้นผลิตภัณฑ์ทางเศรษฐกิจแบบเก่า ยังคงเผชิญผลกระทบที่รุนแรงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทผู้ผลิตเหล็กกล้าและโรงกลั่นน้ำมันดิบยังคงขาดทุนสะสมอย่างต่อเนื่อง
สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เผยแพร่ข้อมูลในวันที่ 27 ตุลาคมว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี อุตสาหกรรมเหล็กจีนซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกขาดทุนสะสม 34,000 ล้านหยวน (ราว 1.68 แสนล้านบาท) ส่วนอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันขาดทุนถึง 32,000 ล้านหยวน (ราว 1.51 แสนล้านบาท) และกำไรภาคอุตสาหกรรมของจีนในเดือนกันยายนส่วนใหญ่ลดลงมากกว่าที่ลดลงในเดือนก่อนหน้า
วิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยืดเยื้อบีบให้โรงงานทำเหล็กกล้าต้องลดกำลังการผลิตลงเพื่อปกป้องอัตรากำไรขั้นต้นและความเสี่ยงต่อการล้มละลาย โรงกลั่นน้ำมันเองก็ต้องรีบหลบภัยจากอุปสงค์น้ำมันเชื้อเพลิงที่อ่อนแอยิ่งขึ้น เพราะภายในประเทศมีการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ ธุรกิจในจีนสรุปผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ในสัปดาห์นี้ โดยมีการเปิดเผยผลประกอบการจากทั้งผู้ผลิตเหล็กกล้ารายใหญ่ที่สุดและบริษัทน้ำมันและบริษัทก๊าซ
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลจีนถูกจับตาอย่างใกล้ชิดว่าจะมีผลกระทบต่ออุปสงค์วัตถุดิบอย่างไรบ้าง ตามข้อมูลจากโกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป (Goldman Sachs Group) การบริโภคน้ำมันอาจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากรัฐบาลจีนเน้นจัดการสต๊อกบ้านคงค้างมากกว่าการสร้างบ้านใหม่ ทำให้มีผลกระทบต่อตลาดเหล็กกล้าอย่างจำกัด
ตามข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน เหล็กและน้ำมันเป็นอุตสาหกรรมเพียง 2 ชนิดที่ไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลกำไรได้ตลอดปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ ยังคงรู้สึกกดดันเช่นกัน จากภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาและปัญหาการผลิตที่ล้นเกิน
จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน เหมืองถ่านหินมีกำไรในช่วง 9 เดือนแรกลดลง 22% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (YOY) เนื่องจากผลกระทบของอุปทานที่ล้นเกินจนมีราคาลดลง ขณะที่ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ซึ่งโดยทั่วไปใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นวัตถุดิบตั้งต้นมีรายได้ลดลง 4%

ข้อมูล/ภาพ : ประชาชาติธุรกิจ