บริษัท ทรูดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด ได้ยื่นฟ้อง ศาสตราจารย์กิตติคุณ พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. ด้านกิจการโทรทัศน์ หลังจาก กสทช. ออกหนังสือเตือนเกี่ยวกับการแทรกโฆษณาในสัญญาณโทรทัศน์ดิจิทัลบนแพลตฟอร์ม ทรูไอดี ซึ่งอาจขัดต่อหลักเกณฑ์ Must Carry กรณีนี้นำไปสู่การตั้งคำถามถึงขอบเขตอำนาจของหน่วยงานกำกับดูแลและอิทธิพลของภาคธุรกิจที่มีต่ออุตสาหกรรมสื่อ
ข้อพิพาทระหว่าง กสทช. และทรูดิจิทัล
ประเด็นปัญหาเริ่มจากข้อร้องเรียนของผู้บริโภคที่พบว่าแอปพลิเคชัน ทรูไอดี มีโฆษณาคั่นระหว่างรายการของช่องทีวีดิจิทัล ซึ่งอาจขัดต่อกฎ Must Carry ที่กำหนดให้ต้องเผยแพร่สัญญาณโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหา กสทช. จึงออกหนังสือแจ้งเตือนให้ผู้ประกอบการปฏิบัติตามกฎดังกล่าว ขณะที่ทรูดิจิทัลฯ มองว่าหนังสือเตือนนี้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัทและอาจทำให้ช่องโทรทัศน์ระงับการออกอากาศบนแพลตฟอร์มของตน
ผลกระทบต่อกรรมการ กสทช. และการดำเนินคดี
คดีนี้อาจส่งผลกระทบต่อ ศาสตราจารย์กิตติคุณ พิรงรอง โดยตรง หากศาลตัดสินว่ามีความผิดและไม่ได้รับการประกันตัว จะส่งผลให้เธอพ้นจากตำแหน่ง กสทช. ทันที เนื่องจากขัดต่อคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งตามกฎหมาย
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางได้มีคำพิพากษาให้จำคุก 2 ปี ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า หนังสือเตือนดังกล่าวเป็นการดำเนินการโดยไม่ชอบและเข้าข่ายจงใจกลั่นแกล้งอย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์กิตติคุณ พิรงรอง ได้ยื่นขอประกันตัวระหว่างอุทธรณ์คดี ซึ่งศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวด้วยหลักทรัพย์ 120,000 บาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ

กระแสสนับสนุนจากภาคประชาสังคม
กรณีนี้ได้รับความสนใจจากวงการสื่อ นักวิชาการ และองค์กรผู้บริโภค ซึ่งออกมาแสดงจุดยืนสนับสนุน ศ.กิตติคุณ พิรงรอง พร้อมติดแฮชแท็ก #saveพิรงรอง เพื่อเรียกร้องให้มีการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม
รศ.ปรีดา อัครจันทโชติ คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่าการดำเนินคดีลักษณะนี้อาจส่งผลกระทบต่อการทำหน้าที่ของหน่วยงานกำกับดูแลสื่อในอนาคต และตั้งคำถามถึงอำนาจของกลุ่มทุนในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม
ขณะเดียวกัน สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค ได้แสดงความกังวลต่อคำพิพากษา พร้อมเรียกร้องให้กระบวนการยุติธรรมให้ความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค
ด้าน นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา อดีตกรรมการ กสทช.ได้แสดงความคิดเห็นว่าคำพิพากษาอาจส่งผลต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะในด้านการจัดทำรายงานการประชุม เนื่องจากหากมีความผิดพลาดหรือการตีความที่ไม่ถูกต้อง อาจนำไปสู่การถูกฟ้องร้องและรับโทษทางอาญาได้ และยังแสดงความกังวลว่าคำพิพากษา อาจเป็นแบบอย่างให้เอกชนรายอื่นๆ ใช้วิธีการฟ้องร้องเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อกดดันหรือขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งอาจทำให้เจ้าหน้าที่รัฐต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของตนเองมากกว่าประโยชน์สาธารณะ และส่งผลให้การทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชนถูกลดทอนลง
ส่วน ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กกล่าวถึงกรณีนี้ว่า “ถ้าการปฏิบัติหน้าที่ตามตำแหน่งที่รับผิดชอบด้วยความสุจริตจะกลายเป็นความผิดทางอาญาแล้วไซร้ ในระยะยาว จะเหลือใครทำงานให้กับส่วนรวม”
มุมมองต่อทิศทางอุตสาหกรรมสื่อ
กรณีพิพาทระหว่าง ทรูดิจิทัล กรุ๊ป และ กสทช. สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานกำกับดูแลกับภาคธุรกิจที่มีอิทธิพลต่ออุตสาหกรรมโทรทัศน์และแพลตฟอร์มดิจิทัล คำถามสำคัญคือ ขอบเขตอำนาจของ กสทช. ควรเป็นเช่นไร และ กลไกทางกฎหมายสามารถคุ้มครองเสรีภาพของผู้บริโภคและความเป็นธรรมทางธุรกิจได้มากน้อยเพียงใด
ผลลัพธ์ของคดีนี้อาจเป็นตัวอย่างสำคัญที่ส่งผลต่อแนวทางการกำกับดูแลสื่อและอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในอนาคต