ปัจจัยเสี่ยงและโรคที่พบบ่อยในผู้สูงอายุมีอะไรบ้าง การเจ็บป่วยเป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยง แต่การสังเกตและป้องกัน สามารถช่วยลดความรุนแรงของโรคได้
เมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัท เอสเคเอส มาร์เก็ต จำกัด ได้ร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จัดงาน Ageing Thailand: International Day of Older Persons 2024 และ Thailand Ageing Society And Economy Forum การประชุมเชิงวิชาการและเวทีเสวนาระดับประเทศ ภายใต้คอนเซปต์ “วัยเก๋า…ไม่เก่าเลย” เพื่อแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของผู้สูงอายุ และส่งเสริมให้ผู้สูงวัยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมทั้งเป็นอีกหนึ่งพลังในการพัฒนาสังคม ณ ชั้น 7 ทรู ไอคอน ฮอลล์ 2 ศูนย์การค้าไอคอนสยาม
โอกาสนี้ ผศ.นพ.ประสิทธิ์ ลีวัฒนภัทร โรงพยาบาลพญาไท 3, พญ.อุไรรัตน์ ศิริวัฒน์เวชกุล Health and Brain Center, The Aspen Tree Clinic The Forestias, นพ.วิวัฒน์ โกมลสุรเดช จักษุแพทย์เฉพาะทางด้านกระจกตาและการผ่าข้อแก้ไข สายตา ต้อกระจก รักษาโรคตาทั่วไป ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ, นพ.นรินทร สุรสินธน นายกสมาคมแพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพแห่งประเทศไทย,ทพ.กานติ์จิรัฐ เหลืองอร่าม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จาก เมดโทเปีย อินทิเกรทีฟ เมดดิคอล เซ็นเตอร์ ได้ร่วมกันพูดคุยและให้ข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงและโรคที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ
เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ แน่นอนว่าวัยนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงหลากหลายด้าน ทั้งในด้านสมอง อารมณ์ และร่างกาย ที่อาจจะไม่เหมือนวัยหนุ่มสาว ดังนั้น เมื่อร่างกายทำงานเสื่อมลง จึงเปิดทางให้โรคต่าง ๆ เข้ามาง่ายขึ้นถึงแม้ว่าจะดูแลตัวเองดีเท่าใดก็ตาม แต่การเจ็บป่วยก็เป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยง ดังนั้น การป้องกันและสังเกตอาการตั้งแต่เนิ่น ๆ คือสิ่งสำคัญ และการลดความรุนแรงของโรคได้ย่อมเป็นเรื่องที่ดี
เบาหวาน โรคยอดนิยม
ผศ.นพ.ประสิทธิ์ ลีวัฒนภัทร กล่าววา โรคส่วนใหญ่ที่พบในผู้สูงอายุ คือ “เบาหวาน” และ “กระดูกพรุน” สำหรับสถานการณ์โรคเบาหวานในประเทศไทยจากข้อมูลล่าสุด ปี 2562-2563 ที่ผ่านมา (รวบรวมทุก 5 ปี) พบในคนทั่วไปร้อยละ 9.5 แต่พบในผู้สูงอายุที่อายุเกิน 65 ปีขึ้นไป ถึงร้อยละ 25
โรคเบาหวานเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต อาหารหลักที่ทำให้เกิดโรคเบาหวานคือคาร์โบไฮเดรต ดังนั้น ควรกินอาหารที่เน้นโปรตีน หากลดคาร์โบไฮเดรตก็จะลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวานได้ อีกทั้งโปรตีนยังสัมพันธ์กับการสร้างมวลกล้ามเนื้อด้วย
“เบาหวานเป็นโรคที่หากคุมไม่ดี จะมีโรคต่าง ๆ ตามมา ทั้งความจำเสื่อม เบาหวานขึ้นตา แก่เร็ว โรคช่องปาก ฯลฯ” ผศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าว
ผศ.นพ. ประสิทธิ์ ลีวัฒนภัทร
สมองเสื่อม ส่งผลต่อการใช้ชีวิต
พญ.อุไรรัตน์ ศิริวัฒน์เวชกุล กล่าวว่า “โรคสมองเสื่อม” และ “พาร์กินสัน” แม้จะไม่ได้พบบ่อยในผู้สูงอายุ แต่มีผลต่อการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุค่อนข้างมาก
สำหรับโรคสมองเสื่อมในผู้สูงอายุอาจแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก คือ ผู้สูงอายุที่ชอบบอกว่าตัวเองลืมของหรือลืมทำอะไรบางอย่าง จนนำไปสู่การวิตกกังวล เช่น ลืมล็อกประตูบ้าน จนเกิดเป็นข้อสงสัยว่าเป็นโรคสมองเสื่อมหรือไม่ ซึ่งผู้สูงอายุในกลุ่มนี้ส่วนมากจะเป็นโรคสมองเสื่อม
แต่อีกกลุ่มที่น่ากังวล คือ กลุ่มที่คิดว่าตัวเองไม่เป็น ซึ่งกว่าจะมาพบแพทย์ก็เป็นโรคสมองเสื่อมไปเยอะแล้ว ดังนั้น จะครอบครัวควรพาผู้สูงอายุกลุ่มนี้มาพบแพทย์ให้เร็วขึ้น ซึ่งจะสร้างผลดีได้อย่างมหาศาล
พญ. อุไรรัตน์ ศิริวัฒน์เวชกุล
โรคตา มาพร้อมกับอายุ
นพ.วิวัฒน์ โกมลสุรเดช กล่าวว่า สำหรับโรคตา ความเสื่อมนั้นมากับอายุ ประเด็นหลักคือจะทำอย่างไรให้เสื่อมช้า ๆ โดยโรคตาที่พบบ่อยแต่ไม่รุนแรงเท่าไรคือ “ต้อกระจก” เมื่อมีอายุก็เป็นทุกคน แต่ช้าหรือเร็วไม่เท่ากัน
โรคที่น่ากังวลกว่า คืออีก 3 โรค ประกอบด้วย ต้อหิน จอประสาทตาเสื่อม และโรคเบาหวานขึ้นจอประสาทตา ซึ่งสัมพันธ์กับโรคเบาหวาน ซึ่ง “องค์การอนามัยโลก” (World Health Organization: WHO) ระบุให้โรคดังกล่าวคือ 3 อันดับแรกที่เป็นสาเหตุทำให้คนบนโลกนี้ตาบอด
สำหรับคนไทยเป็นโรคต้อหินประมาณ 2 ล้านคน และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามจำนวนประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น ส่วนโรคจอประสาทตาเสื่อมพบประมาณร้อยละ 12 ในคนที่อายุมากกว่า 50 ปี ขณะที่โรคเบาหวานขึ้นจอประสาทตาก็เพิ่มขึ้นตามจำนวนผู้ป่วยเบาหวาน ทั้งนี้ หากตรวจพบแต่เนิ่น ๆ ก็สามารถป้องกันได้
นพ.วิวัฒน์ แนะนำว่า เมื่อมีอายุ 45 ปีขึ้นไป ควรตรวจโรคตาปีละครั้ง ถ้าอายุน้อยกว่านั้นอาจตรวจ 2-3 ปี ต่อครั้ง เหตุที่ต้องตรวจโรคตาปีละครั้งเมื่ออายุมากขึ้น เนื่องจากดวงตามีความสามารถในการปรับตัวได้ดี ดังนั้น จะไม่รู้เลยว่าดวงตากำลังแย่ลง บางคนตาบอดไปแล้วหนึ่งข้างและเพิ่งมาพบแพทย์
นพ.วิวัฒน์ ยังกล่าวอีกว่า ดวงตาคนเราไม่ถูกกับแสงแดด พร้อมแนะนำว่าควรใส่แว่นกันแดดที่ป้องกันยูวีได้ เพราะจะป้องกันให้หลายโรคเกิดขึ้นได้ช้าลง เช่น โรคต้อกระจก โรคจอประสาทตาเสื่อม เป็นต้น
ทั้งนี้ ปัจุบันการผ่าตัดดวงตาไม่น่ากลัวอย่างที่คิด ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้มีความเจ็บปวดน้อย เมื่อผ่าตัดเสร็จไม่ต้องนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาล ดังนั้น เริ่มรักาก่อนจะเสียเงินน้อยกว่า และมองเห้นได้ดีกว่า นพ.วิวัฒน์ กล่าว
นพ.วิวัฒน์ โกมลสุรเดช
มีชีวิตยืนยาว พร้อมคุณภาพชีวิต
นพ.นรินทร สุรสินธน กล่าวว่า ในสังคมผู้สูงอายุ สิ่งที่ต้องการคือมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยแบ่งเป็น 4 ด้าน ประกอบด้วย 1. การช่วยเหลือตัวเองได้ ซึ่งสัมพันธ์กับการฝึกกล้ามเนื้อ เพราะภาวะกล้ามเนื้อน้อยเกิดจากการกินโปรตีนไม่พอ ไม่ออกกำลังกาย และฮอร์โมนที่ตกต่ำลงไป 2. ความจำ 3. ระบบประสาทสัมผัสต่าง ๆ ทั้งการได้ยินและการมองเห็น และ 4. ความสุข หลายคนเมื่ออายุมากก็ไม่ได้ออกไปไหน มีภาวะโรคซึมเศร้า ทั้งหมดนี้จึงเป็นเรื่องของการอยากให้ชีวิตยืนยาว แต่ต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ ผู้สูงอายุจำนวนมากที่เข้ามาปรึกษายังมีปัญหาการนอนไม่หลับ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ เพราะแค่นอนไม่หลับเรื่องเดียว จะนำไปสู่โรคต่าง ๆ ตลอดจนอาการท้องอืด และอาหารไม่ย่อย แม้จะไม่ได้ถึงขั้นเป็นโรค แต่ก็รบกวนคุณภาพชีวิตมากพอสมควร ดังนั้น ถ้าป้องกันได้ก็จะมีชีวิตที่ยืนยาวพร้อมกับคุณภาพชีวิตที่ดี
นพ.นรินทร กล่าวอีกว่า ปัจจุบัน ความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ สามารถดูได้ตั้งแต่รหัสพันธุกรรม ซึ่งสามารถป้องกันได้ เริ่มต้นจากการตรวจสุขภาพประจำปี และการตรวจที่ลึกขึ้น เช่น ดูวิตามินและแร่ธาตุในร่างกาย หรือดูโลหะหนักในร่างกาย ตรวจการอักเสบเรื้อรังในร่างกาย หรือเทียบอายุในระดับเซลล์ต่ออายุจริง ทำให้สามารถวางแผนได้ว่าอายุของอวัยวะใดน้อยหรือมากกว่าปกติ และโฟกัสได้ถูกทาง
อย่างไรก็ตาม แม้พันธุกรรมเป็นสิ่งที่ติดตัวมา แต่สามารถแก้ได้ด้วยพฤติกรรม ต้องดูแลไลฟ์สไตล์ ออกำลังกาย กินอาหาร สำหรับผู้สูงอายุการออกกำลังกายแบบสร้างกล้ามเนื้อนั้นสำคัญ เพื่อให้มีกล้ามเนื้อไว้ใช้ตอนอายุ 70-80 ปี และพยายามหลีกเลี่ยงมลพิษต่าง ๆ ทั้ง PM2.5 ควันธูป หรือยาฆ่าแมลงในผักผลไม้ เป็นต้น
ต้องเชื่อในสิ่งที่ร่างกายบอก ถ้ามีอาการอะไรเปลี่ยนแปลงไปก็ต้องพบแพทย์ อาหารเสริม วิตามิน และแร่ธาตุก็สำคัญ เช่น ร้อยละ 70 ของคนไทยขาดวิตามินดีที่ช่วยป้องกันมะเร็ง กระดูกพรุน เป็นต้น
นอกจากนี้ควรกำหนดมรณานุสติไว้เนือง ๆ ถ้าไม่ฝึกไว้ตอนยังดีอยู่ เมื่อไปถึงโรงพยาบาล หรือ ในไอซียู จะฉวยใจออกจากทุกข์ไม่ได้ ต้องกลับมาดูความรู้สึกอยู่เป็นประจำ นพ.นรินทร กล่าวทิ้งท้าย
นพ.นรินทร สุรสินธน (ขวา)
ปาก ประตูสู่สุขภาพร่างกายที่ดี
ทพ.กานติ์จิรัฐ เหลืองอร่าม กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ทำการสำรวจสถานการณ์สภาวะช่องปากของคนไทยทุก 5 ปี ซึ่งรายงานครั้งล่าสุดเมื่อปี 2566 ระบุว่า ทุกมิติดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะประชากรสูงอายุ 10,000 คน ตามภูมิภาคต่าง ๆ (อายุ 60-67 ปี) มีฟันถาวรที่หลงเหลืออยู่ 19.6 ซี่ ซึ่งดูน่าวิตกว่าประสิทธิภาพจะดีเพียงพอสำหรับเคี้ยวอาหารหรือไม่ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ยังมีความต้องการฟันปลอมที่สูงอยู่ แต่ว่าการเข้าถึงบริการเหล่านี้ และมีฟันปลอมที่มีศักยภาพหรือไม่ยังต้องติดตามต่อไป
ผู้สูงอายุควรตรวจฟันทุก 6 เดือนเป็นอย่างน้อย เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที เพราะปัญหาช่องปากของผู้สูงอายุจะซับซ้อนกว่าคนทั่วไป เนื่องจากสัมพันธ์กับสุขภาพร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนการบำรุงรักษาฟันปลอมที่ใส่อยู่ให้มีประสิทธิภาพก็สำคัญมาก
ฟันมีหน้าที่ 3 อย่าง คือ เคี้ยวอาหาร ช่วยการพูด และความสวยงาม จากการวิจัยพบว่าสุขภาพช่องปากมีความสัมพันธับสุขภาพร่างกายโดยรวม “ปากเป็นประตูสู่สุขภาพร่างกายที่ดีได้” เชื้อโรคในช่องปากจึงสัมพันธ์กับทุกโรค
ในทางทันตกรรมแบบองค์รวม มีความกังวลเรื่องการติดเชื้อในช่องปาก ซึ่งพบได้มากกว่า 50% ในประชากร และเชื่อมโยงกับโรคต่าง ๆ ทั้งเบาหงาน หัวใจ ปอด รวมถึงข้ออักเสบ เป็นต้น ทพ.กานติ์จิรัฐ กล่าว
ทพ.กานติ์จิรัฐ เหลืองอร่าม
ข้อมูล/ภาพ : ประชาชาติธุรกิจ