รัฐบาลจีนให้คำมั่นสัญญาจะจัดสรรงบประมาณลงทุนเพิ่มเติม เพื่อช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่ยังไม่ประกาศมาตรการกระตุ้นชุดใหญ่ ทำนักลงทุนผิดหวัง ดึงหุ้นร่วงลงทันทีราว 10%
วันที่ 8 ตุลาคม 2024 นิกเคอิ เอเชีย (Nikkei Asia) รายงานการแถลงข่าวของคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ (National Development and Reform Commission: NDRC) ซึ่งเป็นหน่วยงานวางแผนเศรษฐกิจของจีนว่า รัฐบาลจีนได้กำหนดมาตรการสนับสนุนเชิงนโยบายเพิ่มเติมแล้ว แต่ไม่ได้ประกาศแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างที่นักลงทุนคาดการณ์ไว้
เจิ้ง ซานเจี๋ย (Zheng Shanjie) ประธาน NDRC กล่าวในการแถลงข่าวว่า รัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณสำหรับการลงทุนในปี 2025 วงเงิน 100,000 ล้านหยวน (ประมาณ 475,000 ล้านบาท) และอีก 100,000 ล้านหยวนสำหรับโครงการก่อสร้าง นอกจากนั้น ในปีหน้า รัฐบาลจะออกพันธบัตรรัฐบาลที่มีกำหนดไถ่ถอนนานเป็นพิเศษด้วย
การที่ไม่มีการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังที่ตลาดคาดหวังส่งผลให้หุ้นจีนร่วงลงทันที ดัชนีฮั่งเส็ง (HSI) ของฮ่องกงซึ่งมีบริษัทจีนจดทะเบียนอยู่จำนวนมากร่วงลงเกือบ 9% ในระหว่างการแถลงข่าวของ NDRC อย่างไรก็ตาม ดัชนียังอยู่ในระดับสูงกว่าราคาปิดเมื่อวันที่ 23 กันยายน ซึ่งเป็นวันแรกที่ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบล่าสุดอยู่ 26.5%
ส่วนดัชนี ซีเอสไอ 300 (CSI 300) ซึ่งเป็นดัชนีหุ้น 300 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดที่จดทะเบียนในจีนแผ่นดินใหญ่พุ่งขึ้นมากกว่า 10% ในเช้าวันอังคารที่ 8 ตุลาคม ก่อนการแถลงข่าว แต่ได้ปรับลงลงระหว่างการแถลงข่าว แต่ยังคงสูงกว่าระดับปิดตลาดของวันที่ 20 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันทำการล่าสุดก่อนหยุดยาววันชาติจีนอยู่ 25%
นักเศรษฐศาสตร์หลายคนตั้งคำถามกันอยู่ก่อนหน้านี้แล้วว่า ความคึกคักของตลาดหุ้นจีนจะคงอยู่ไปได้นานแค่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคาดว่าตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจในเดือนกันยายนจะเผยให้เห็นการชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้น นักเศรษฐศาสตร์ยังตั้งคำถามด้วยว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ของจีนจะส่งผลดีต่อครัวเรือนทั่วไปและเพิ่มความเชื่อมั่นกับความเต็มใจที่จะบริโภคหรือไม่ ซึ่งพวกเขาเชื่อว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เพื่อที่จะให้เศรษฐกิจจีนเติบโตดีขึ้น
ทั้งนี้ เศรษฐกิจจีนที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกได้รับผลกระทบจากแรงลมต้านหรืออุปสรรคมากมายตลอดปีที่ผ่านมา ทั้งวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ที่ลุกลามบานปลาย ภาวะเงินฝืดอย่างยืดเยื้อ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ตกต่ำ ส่วนการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของการส่งออก ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักหลังสิ้นสุดการระบาดของโควิด-19 ก็กำลังตกอยู่ภายใต้ภัยคุกคาม เนื่องจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนกับชาติตะวันตกทวีความรุนแรงขึ้น
ตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทางการจีนได้ประกาศนโยบายจำนวนมากที่มุ่งหวังจะสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งมาตรการเหล่านั้นกระตุ้นให้ตลาดหุ้นจีนพุ่งสูงขึ้น โดยเปลี่ยนจากตลาดหุ้นที่มีผลการดำเนินงานแย่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกให้กลายเป็นตลาดหุ้นที่ผลงานดีที่สุดแห่งหนึ่ง เช่นกันกับหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงและตลาดหุ้นสหรัฐก็พุ่งขึ้นรับมาตรการกระตุ้นในแผ่นดินแม่
ถึงอย่างนั้นก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุนมองว่ามาตรการที่ออกมานั้นยังไม่เพียงพอ และคาดหวังว่าจะได้เห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเข้มข้นมูลค่าหลายล้านล้านหยวน หลังจากที่มาตรการช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทยอยออกมานั้น ไม่สามารถหยุดยั้งการล่มสลายของตลาดอสังหาริมทรัพย์ หรือพลิกฟื้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ตกต่ำได้
เถา หวัง (Tao Wang) และ หนิง จาง (Ning Zhang) นักเศรษฐศาสตร์จีนจากธนาคารยูบีเอส (UBS) บอกในบทวิเคราะห์ที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ที่ 7 ตุลาคมว่า การนำแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 1.5 ล้านล้านหยวน ถึง 2 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 7.12 ล้านล้านบาท ถึง 9.50 ล้านล้านบาท) ไปใช้โดยเร็ว จะช่วยให้จีนบรรลุเป้าหมายการเติบโตในปปีนี้ที่ตั้งไว้ 5% ได้ แต่การที่จะรักษาอัตราการเติบโตไว้ที่ 5% ในอีก 2 ปีข้างหน้านั้นจำเป็นจะต้องใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีมูลค่ามากกว่านั้นมาก รวมถึงต้องมีการปฏิรูปโครงสร้างเพิ่มเติมด้วย
นอกจากนั้น สองนักเศรษฐศาสตร์ของยูบีเอสบอกอีกว่า การเพิ่มการขาดดุลงบประมาณอีก 2 ล้านล้านหยวนถึง 3 ล้านล้านหยวน (9.50 ล้านล้านบาท ถึง 14.20 ล้านล้านบาท) สำหรับปีงบประมาณ 2025 อาจตัดสินใจได้ราวเดือนธันวาคม

ข้อมูล/ภาพ : ประชาชาติธุรกิจ