เอกชนห่วงสินค้าไม่ได้มาตรฐาน-นักลงทุนสีเทา เร่งขอพบนายกฯ-แบงก์ชาติหารือ

เอกชนไทยห่วงสินค้าไม่ได้มาตรฐาน-นักลงทุนสีเทาเข้าไทย ได้ส่งหนังสือขอเข้าพบนายกฯ และผู้ว่าฯแบงก์ชาติ เพื่อหาแนวทางป้องกัน พร้อมได้เสนอเก็บ Vat 7% ในสินค้าออนไลน์ และเก็บภาษีของผู้ประกอบการ e-Commerce เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้ผู้ประกอบการในประเทศ

วันที่ 9 ตุลาคม 2567 นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยภายหลังที่หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย-จีน และสมาคมการค้าวิสาหกิจจีน ประกาศจัดตั้ง “กลไกประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีนอย่างยั่งยืน” ว่า ภาคเอกชนได้เตรียมนำเสนอ 2 ประเด็นสำคัญที่จะหารือกับรัฐบาล โดยได้ทำหนังสือขอเข้าพบนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าฯธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ)

โดย 2 เรื่องสำคัญคือ การดูแลและออกมาตรการกับสินค้าต่ำกว่ามาตรฐาน โดยเห็นว่าหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม องค์การอาหารและยา (อย.) กระทรวงการคลัง เป็นต้น จำเป็นจะต้องมีการตรวจสอบ และออกมาตรฐานดูแลสินค้าให้ชัดเจน โดยเห็นว่าศุลกากรจำเป็นที่จะต้องเป็นด่านหน้าในการดูแลสินค้าที่เข้ามาในประเทศ โดยเฉพาะที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ถูกกฎระเบียบและผิดกฎหมาย จะต้องสกัดไว้ไม่ให้มีการนำเข้ามา

และอีกประเด็น การค้าสินค้าผ่านตลาดอีคอมเมิร์ซ เช่น Lazada shopee หรือแม้กระทั้ง TEMU โดยภาคเอกชนให้ความสำคัญใน 3 ประเด็นหลักคือ

1.ควรให้มีการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT 7% ในการซื้อขายสินค้าผ่าน e-Commerce

2.ด้วยการซื้อขายอีคอมเมิร์ซไม่ได้มีการแสดงบัญชีกำไร-ขาดทุน หากเปรียบเทียบกับผู้ประกอบการไทย เมื่อมีผลประกอบการดีมีกำไรจะเสียภาษีให้ภาครัฐ 20% ดังนั้น เห็นว่าควรจะมีการเก็บภาษีกำไร หรือภาษีเหมากับกลุ่มธุรกิจนี้ ซึ่งเห็นว่าอาจจะต้องมีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระหว่าง 2 ประเทศ ในการออกกฎหมายเข้ามาดูแลและเป็นที่ยอมรับ เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ประกอบการ

และ 3.การชำระเงิน โดยเห็นว่าที่ผ่านมามีการชำระผ่าน Application, WeChat, alipay ซึ่งไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของแบงก์ชาติ เห็นว่าเรื่องนี้ควรจะมีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการหากลไกเข้ามาดูแล ซึ่งเรื่องนี้อยู่ระหว่างการประสานและหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทยคนที่หนึ่งกล่าวว่า 3 องค์กรที่ประกาศจัดตั้ง “กลไกประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีนอย่างยั่งยืน” ซึ่งมีคณะทำงานขึ้นมา โดยคาดว่าภายใน 2-3 เดือน หรือประมาณต้นปี 2568 จะเห็นแผนงานและทิศทางการดำเนินการที่ชัดเจนขึ้น ภายใต้แผนดำเนินการสำคัญ 9 ประการ

โดยหนึ่งในนั้นจะรวบรวมประเด็นที่ผู้บริโภค ประชาชนให้ความเป็นห่วงนำมาศึกษา รวบรวม เพื่อจะทำแผนดำเนินงานต่อไป มั่นใจว่าการประกาศครั้งนี้จะสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าการลงทุน และสนับสนุนของทั้ง 2 ประเทศได้

นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการหอการค้าไทย-จีนกล่าวว่า การไหลมาของจีนไม่ใช่เฉพาะตัวสินค้าอย่างเดียว แต่รวมไปถึงนักลงทุนที่เข้ามาด้วย การมีกลไกประสานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีน จะเป็นตัวสร้างความมั่นใจและเชื่อใจให้กับทั้งสองประเทศ ในการเข้ามาทำการค้าการลงทุน

อีกทั้งจะช่วยสกัดสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพหรือราคาถูก ไม่ให้มีขายตามท้องตลาด รวมไปถึงนักลงทุนสีเทา จะเป็นการช่วยคลายความกังวลปัญหาให้กับผู้บริโภคให้ได้รับสินค้าที่มีคุณภาพ รวมไปถึงการเข้ามาลงทุน จะได้เป็นการพัฒนาประเทศก้าวไปสู่อุตสาหกรรมที่ทันสมัย ดังนั้น หน่วยงานของภาครัฐจำเป็นจะต้องสร้างกลไกให้เกิดความสมดุลระหว่างกันให้มากขึ้น

ทั้งนี้ จีนถือว่าเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยติดต่อกันมา 12 ปี หากดูตัวเลขมูลค่ารวมของ 2 ประเทศ พบว่า 8 เดือนแรก (มกราคม-สิงหาคม) ของปี 2567 มีมูลค่ารวมอยู่ที่ 86,842 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 3.6% ส่วนการส่งออกมีมูลค่า 31,805 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 6.4% ส่วนการนำเข้าอยู่ที่ 55,036 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 10.5% โดยสินค้าส่งออกส่วนใหญ่ยังเป็นสินค้าผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง เครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นต้น

ข้อมูล/ภาพ : ประชาชาติธุรกิจ

ตำรวจไซเบอร์บุกจับกุมเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกให้โอนเงิน

การเมืองวนลูป ประเทศถอยหลัง