รังสิมันต์ โรม ส.ส. พรรคประชาชน และประธาน กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐฯ ย้ำถึงความจำเป็นในการออกหมายจับ หม่อง ชิตตู่ ผู้มีบทบาทสำคัญในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เมืองเมียวดี ชี้หากดำเนินการไม่ได้ต้องมีผู้รับผิดชอบ พร้อมเสนอให้ทบทวนมาตรการ ฟรีวีซ่า เพื่อป้องกันขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติที่ใช้ไทยเป็นเส้นทางผ่าน

เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 รังสิมันต์ โรม พร้อมคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ ได้เดินทางไปประชุมที่ หน่วยเฉพาะกิจราชมนู กองกำลังนเรศวร อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อรับฟังข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์คอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติที่มีฐานปฏิบัติการอยู่ในประเทศเมียนมา
เขายอมรับว่า การปราบปรามในขั้นแรกมีประสิทธิภาพดี แต่ยังต้องมีการเสริมทรัพยากร งบประมาณ เทคโนโลยี และกำลังพล เพื่อให้การดำเนินการในระยะยาวมีประสิทธิภาพสูงสุด

รังสิมันต์ ระบุว่า แม้จะมีมาตรการคัดกรอง 4 ระดับที่สนามบินและด่านตรวจตามถนน แต่ยังมีชาวต่างชาติจำนวนมากที่สามารถเข้าประเทศไทยได้อย่างง่ายดาย ทำให้เกิดข้อกังวลเกี่ยวกับการใช้ช่องว่างนี้เพื่อเข้าร่วมขบวนการคอลเซ็นเตอร์หรืออาชญากรรมอื่นๆ
“วันนี้เราอาจต้องพิจารณา มาตรการแจ้งขออนุญาตเข้าพื้นที่ชายแดน และตรวจสอบเส้นทางลักลอบข้ามแดน โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืนที่ยังคงมีการลำเลียง บุคคลและสินค้าผิดกฎหมาย อย่างน้ำมัน”

มีรายงานว่าผู้ที่ถูกส่งตัวกลับมายังไทย มากกว่า 90% อ้างว่าเดินทางไปทำงานโดยสมัครใจ แต่รังสิมันต์ชี้ว่ายังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัด เนื่องจากมีปัญหาเรื่อง กระบวนการคัดกรอง โดยเฉพาะด้านภาษาและข้อจำกัดของสถานทูตบางประเทศ
นอกจากนี้ ทางการจีนยังคงให้ความร่วมมือด้านข้อมูลเพื่อช่วยปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่ไม่สามารถกำจัดขบวนการทั้งหมดได้ เนื่องจาก นายหวัน ค็อกคอย มาเฟียระดับโลก และ หม่อง ชิตตู่ ต่างเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการดำเนินการในพื้นที่ชายแดนเมียนมา

รังสิมันต์ย้ำว่า การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต้องดำเนินการอย่าง ถอนรากถอนโคน และต้องมีแผนงานที่เป็นระบบ
“ถ้าอัยการและดีเอสไอไม่มีการดำเนินการออกหมายจับ ต้องมีคนรับผิดชอบ เพราะนี่คือ ภัยต่อความมั่นคงของไทย และเป็นสิ่งที่ไม่สามารถปล่อยผ่านได้”
ข้อมูล / ภาพ : ไทยรัฐ