ผบ.ตร. ลงนามคำสั่งไล่ออก “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล”
เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้ลงนามคำสั่งไล่ออก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ออกจากราชการ โดยคำสั่งดังกล่าวเป็นไปตามข้อเสนอของคณะกรรมการกลั่นกรองโทษ ซึ่งพิจารณาผลการสอบสวนทางวินัยร้ายแรง กรณีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ถูกพาดพิงถึงการมีส่วนเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์พนันออนไลน์ โดยก่อนหน้านี้คณะกรรมการฯ ได้ประชุมและมีมติเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2568 ให้เสนอแนะให้ไล่ออกจากราชการ พร้อมงดบำเหน็จบำนาญ
รายละเอียดกระบวนการพิจารณาโทษ
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เปิดเผยว่า คำสั่งไล่ออกดังกล่าวเป็นผลจากการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาโทษวินัยร้ายแรง ซึ่งมี พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร.อาวุโสสูงสุด เป็นประธาน ร่วมกับรอง ผบ.ตร.ทุกนาย และจเรตำรวจแห่งชาติ ทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการสอบสวนเพื่อให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบวินัยของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยคณะกรรมการฯ ได้ทำการสืบสวนและตรวจสอบพยานหลักฐานอย่างละเอียด ก่อนมีข้อเสนอแนะให้ไล่ออกจากราชการ
คำสั่งนี้ส่งผลให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่ได้รับบำเหน็จและบำนาญ เนื่องจากถือเป็นการลงโทษวินัยร้ายแรง ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการรักษาวินัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคม
โอกาสในการอุทธรณ์คำสั่งไล่ออก
แม้จะถูกไล่ออกจากราชการแล้ว แต่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังสามารถใช้สิทธิ์อุทธรณ์คำสั่งต่อ คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) ได้ หาก ก.พ.ค.ตร. ยืนตามมติของคณะกรรมการวินัย เขายังสามารถยื่นฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุดเพื่อให้พิจารณาคดีอีกครั้ง
หากศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามมติของ ก.พ.ค.ตร. กระบวนการทางกฎหมายจะเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้าย นั่นคือการพิจารณาถอดยศตำรวจของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งจะเป็นกระบวนการที่ต้องดำเนินการตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติต่อไป
ความเคลื่อนไหวล่าสุดและผลกระทบต่อวงการตำรวจ
หลังจากมีคำสั่งไล่ออกจากราชการ กระแสในแวดวงตำรวจและสังคมให้ความสนใจถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อโครงสร้างภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เนื่องจาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เคยเป็นนายตำรวจระดับสูงและมีบทบาทสำคัญในการปราบปรามอาชญากรรม รวมถึงคดีต่างๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ การพิจารณาโทษวินัยร้ายแรงในครั้งนี้ ถือเป็นกรณีตัวอย่างของการบังคับใช้กฎหมายภายในองค์กรตำรวจ และเป็นมาตรการที่สะท้อนถึงแนวทางการปฏิรูปหน่วยงานด้านความมั่นคงให้มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้มากขึ้น โดยความคืบหน้าของคดีนี้จะต้องติดตามต่อไปว่าผลการอุทธรณ์ (หากมี) จะเป็นไปในทิศทางใด และจะส่งผลกระทบต่อสถานะของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อย่างไรในอนาคต

ข้อมูล/ภาพ : กรุงเทพธุรกิจ