นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ Watchdog Channel ถึงกรณีที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบมีคำพิพากษาจำคุก ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต กสทช.เป็นเวลา 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา ที่กำลังเป็นประเด็นสังคมอยู่เวลานี้ว่าใครที่ได้เห็นคำพิพากษาต่างอดประหลาดใจไม่ได้ว่า เหตุใดการทำหน้าที่ประธานที่ประชุมอนุกรรมการใน กสทช.ที่ก็มีอยู่หลายต่อหลายชุดถึงตกเป็นจำเลยถึงขั้นถูกตัดสินจำคุกได้
หนังสือเตือนเอกชน ผ่านมติที่ประชุมอนุ กก. มิใช่นามส่วนตัว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า หากย้อนไปดูต้นตอการฟ้องร้องจะเห็นได้ว่า เริ่มมาจากทรูไอดีที่เป็นผู้ให้บริการกล่อง “TrueID”ที่จับเอาบรรดาช่องรายการฟรีทีวีทั้งหลายมามัดรวมกันแล้วส่งสัญญานให้บริการบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือดูผ่านแอพบนสมาร์ทโฟน ที่เรียกบริการ OTT โดยสอดแทรกหาโฆษณาอีกที ได้นำเรื่องไปฟ้องศาลว่าถูก กสทช.ใช้อำนาจกลั่นแกล้งให้ได้รับความเสียหาย มีการแก้ไขรายงานการประชุมอันเป็นเท็จใส่ชื่อทรูไอดีเข้าไปทั้งที่ไม่อยู่ในรายงานการประชุมแต่แรก และแม้จะไม่ส่งหนังสือมาถึงตนโดยตรง แต่การเอ่ยชื่อทรูไอดีในหนังสือเตือนดังกล่าวก็ทำให้บริษัทเสียหาย ทำให้ผู้คนเข้าใจผิดว่าทรูไอดีดำเนินธุรกิจผิดกฏหมาย ทำให้ผู้ประกอบการที่จะทำสัญญากับทรูไอดีชะงัก จึงได้นำเรื่องมาฟ้องศาล
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตุว่า หนังสือที่ กสทช.ออกไปยังผู้ประกอบการฟรีทีวีผู้รับใบอนุญาติทั้งหลาย ที่ทรูไอดีนำไปอ้างต่อศาลว่าทำให้ตนเองเสียหายทางธุรกิจนั้น ทุกอย่างไม่ใช่กระทำในนาม “กสทช.พิรงรอง” หรือในนามส่วนตัว แต่เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ของสำนักงานกสทช. ที่มีหน้าที่ตามที่ตามได้รับมอบหมาย เมื่อมีผลประชุมอนุกรรมการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องใด ๆ ออกมา หากเป็นอำนาจโดยตรงของสำนักงาน กสทช.ย่อมต้องมีหน้าที่ทำตาม แต่หากเรื่องใดต้องผ่านที่ประชุมบอร์ด กสทช.ก่อนก็ต้องว่ากันตามขั้นตอนกฏหมาย แต่ทั้งนี้ หนังสือที่ออกไปล้วนต้องกระทำในนาม กสทช.ไม่ใช่ส่วนตัว
เอกชนควานหา”เจตนา”กลั่นแกล้งเพื่อเอาผิด
นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า เมื่อย้อนดูคำพิพากษาฉบับเต็ม ก็ยิ่งทำให้สังคมเกิดคำถามเกิดข้อวิพากษ์ต่างๆ ตามมา เพราะองค์ประกอบความผิดในเรื่อง “เจตนา” ที่ศาลไปหยิบยกเอาคำพูดที่ว่า “ตลบหลัง-ล้มยักษ์” ที่ กสทช.พิรงรองพูดในที่ประชุมนั้น เมื่อตรวจสอบวาระการประชุมก็พบว่า คำพูดดังกล่าวก็เป็นเรื่องปกติ เพราะกสทช. รู้อยู่แล้วว่าไม่มีอำนาจจะไปกับดูแลบริการ OTT โดยตรง จึงต้องหันมาใช้วิธีการสั่งไปยังผู้ประกอบการฟรีทีวี ที่รับอนุญาตที่ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ “มัสต์แคร์รี่” ที่ห้ามมีการดัดแปลงหรือโฆษณา จึงเป็นที่มาของคำว่าตลบหลัง
ส่วนคำว่า”ล้มยักษ์”ถึงแม้”อาจารย์พิรงรอง”จะพูดคำนี้ในที่ประชุมจริง แต่ก็เป็นการพูด หลังจากการพิจารณาวาระทรูไอดีผ่านไปแล้วและมีการพิจารณาเรื่องอื่นๆ จนจะปิดการประชุมแล้วก่อนจะเปรยคำว่าเตรียม”ล้มยักษ์”ออกมา ซึ่งการที่ทรูไอดีไปหยิบยกเอาคำพูดดังกล่าวเพื่อไปใช้ให้เข้าองค์ประกอบความผิด ก็ให้น่าคิดว่าผู้ฟ้องคดีทรูไอดีมีวาระซ่อนเร้นอะไรหรือไม่ เพราะหากย้อนไปดูถ้อยคำที่มาของคำพูดดังกล่าวจะเห็นได้ชัดเจนว่าคำว่าตลบหลังหรือล้มยักษ์ไม่ได้มีความหมายไปถึงขั้นนั้นแต่อย่างใด
เอกชนเสียหายหรือเสียประโยชน์ ?
อย่างไรก็ตามการที่ทรูไอดีจับเอาช่องฟรีทีวีหรือคอนเทนท์ดิจิทัลทีวีไปมัดรวมให้บริการข้างต้นแล้วหาประโยชน์จากการแปะโฆษณา ก็ทำให้เกิดคำถามว่า ได้มีการซื้อลิขสิทธิ์มาอย่างถูกต้อง ได้จ่ายค่าลิขสิทธ์หรือค่าบริการให้ช่องรายการต่างๆที่เขามีต้นทุนค่าสัมปทานค่าใบอนุญาตอยู่กับ กสทช.หรือไม่ เพราะทรูไอดีมีรายได้จากการจับเอาช่องฟรีทีวีเหล่านี้ไปออกอากาศแล้วแปะโฆษณาหาประโยชน์
นอกจากนี้ กสทช.เองก็มีข้อกำหนด ที่เรียกว่ากฏ”มัสต์ แคร์รี่” ที่กำหนดไว้ใครก็ตามที่จะนำเอารายการโทรทัศน์ภาคพื้นหรือฟรีทีวีเหล่านี้ไปแพร่ภาพบนช่องทางอื่น อย่างเคเบิ้ลทีวีหรือช่องทางอื่นใดก็ตาม ต้องเป็นผู้ที่ได้รับใบอนุญาตจาก กสทช.เท่านั้น โดยต้องแพร่ภาพไปตามเนื้อหาของช่องนั้นๆ ที่มีแต่เดิม แต่ทรูไอดี ซึ่งเป็นผู้ให้บริการ OTT กลับเอาช่องรายการเหล่านี้ไปแพร่ภาพโดยสอดแทรกหรือแปะโฆษณาหาประโยชน์ลงไป
เนื่องจากไม่ว่า True ID จะมีเทคโนโลยีใหม่แค่ไหนเมื่อเอารายการดิจิทัลทีวีที่เขามีต้นทุนผลิตต้นทุนออกอากาศไปออกอากาศไปดัดแปลงอย่างไร ก็ควรจะต้องมาเจรจาซื้อลิขสิทธิ์จ่ายผลประโยชน์ให้ผู้ประกอบการฟรีทีวีเหล่านี้อย่างเป็นธรรม เพราะแม้แต่ YouTube ที่เอาคอนเทนต์รายการต่างๆของคนอื่นไปออกอากาศ และมีโฆษณาแทรกก็ยังต้องแบ่งผลประโยชน์ให้กับเจ้าของรายการเจ้าของช่อง
“หากจะพิจารณาอย่างเป็นธรรม ขณะที่ทรูไอดีอ้างตนเสียหายทางธุรกิจโดยอ้างผู้ประกอบการ TNN และทรูฟอร์ยู True4U ชะลอทำสัญญานั้น จะเห็นได้ว่าช่อง3 และช่อง 9 อสมท.ที่ก็ไปให้การในฝั่งอาจารย์พิรงรองก็ยืนยันว่าได้รับความเสียหายจากการถูกนำช่องรายการไปหาประโยชน์โดยไม่ได้อะไรตอบแทนเช่นกัน เหตุใดส่วนนี้ถึงไม่ได้รับการพิจารณาในชั้นศาล”
นายอภิสิทธิ์กล่าวในตอนท้ายว่า ต้องให้กำลังใจ กสทช.พิรงรอง ต่อสู้ต่อไปในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกาต่อไป แต่หากถอยกลับมาพิจารณาเรื่องนี้อย่างเป็นธรรม เห็นว่า เรื่องนี้ถ้า กสทช.พิรองรอง ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ใครร้องมาก็แค่บอกว่าทรูไอดี เป็นบริการ OTT ที่กสทช.ยังไม่มีอำนาจควบคุมกำกับดูแล ก็คงไม่เดือดร้อนแบบที่เป็นอยู่ หลายคนจึงตกใจกับคำพิพากษาที่ออกมาซึ่งไม่เพียงแต่จะลงโทษผู้ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่รอลงอาญาแล้ว ยังไม่ได้ให้ความเป็นธรรมกับ กสทช.พิรงรอง อีกด้วย
