แรงกระเพื่อมจากม็อบปลาหมอคางดำ: ข้อเรียกร้องสี่ประการที่รัฐบาลต้องตอบ
เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568 กลุ่มเครือข่ายประชาชนจาก 19 จังหวัด ได้รวมตัวกันที่หน้าทำเนียบรัฐบาลเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและอุตสาหกรรมการประมง โดยมีการนำปลาหมอคางดำจำนวน 2 ตันมาเทบริเวณประตู 5 ของทำเนียบรัฐบาล เพื่อแสดงสัญลักษณ์ถึงความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น หลังจากที่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่ออกมารับข้อเรียกร้องด้วยตนเอง
ข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม
กลุ่มผู้ชุมนุมได้ยื่นข้อเรียกร้อง 4 ประการหลัก ได้แก่:
- การตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบหาผู้กระทำผิด
- การกำจัดปลาหมอคางดำให้หมดภายใน 1 ปี และฟื้นฟูระบบนิเวศ
- การประกาศเขตภัยพิบัติทันที
- ให้หน่วยงานรัฐฟ้องร้องผู้กระทำผิดเพื่อชดใช้และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ
รัฐบาลสามารถตอบสนองข้อเรียกร้องได้จริงหรือไม่?
1. การตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบหาผู้กระทำความผิด
ความเป็นไปได้: สูง แต่ต้องใช้เวลา
รัฐบาลสามารถตั้งคณะกรรมการอิสระได้ผ่าน มติคณะรัฐมนตรี หรือคำสั่งจาก กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม การสืบสวนหาผู้ที่นำปลาหมอคางดำเข้ามายังระบบนิเวศอาจใช้เวลานาน เนื่องจากต้องตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังและเส้นทางของสัตว์น้ำชนิดนี้
2. การกำจัดปลาหมอคางดำให้หมดภายใน 1 ปี และฟื้นฟูระบบนิเวศ
ความเป็นไปได้: ต่ำ เนื่องจากข้อจำกัดทางชีววิทยา
ปลาหมอคางดำเป็นสัตว์น้ำต่างถิ่นที่มีอัตราการแพร่พันธุ์สูง และสามารถปรับตัวได้ดีในหลายสภาพแวดล้อม การกำจัดทั้งหมดภายใน 1 ปี แทบเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากและอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศโดยรวม วิธีที่เป็นไปได้คือ การควบคุมประชากร ผ่านการส่งเสริมให้จับไปใช้เป็นอาหารสัตว์หรือวัตถุดิบในอุตสาหกรรม
3. การประกาศเขตภัยพิบัติทันที
ความเป็นไปได้: ปานกลาง ขึ้นอยู่กับกรอบกฎหมาย
การประกาศเขตภัยพิบัติต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งปกติใช้กับภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ไฟป่า หรือโรคระบาดในสัตว์น้ำ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลสามารถใช้ มาตรการทางเลือก เช่น การจัดตั้ง กองทุนช่วยเหลือเกษตรกร ที่ได้รับผลกระทบจากปลาหมอคางดำแทน
4. ให้หน่วยงานรัฐฟ้องร้องผู้กระทำผิดเพื่อชดใช้และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ
ความเป็นไปได้: ปานกลาง-ต่ำ เนื่องจากข้อกฎหมายและหลักฐาน
การดำเนินคดีต้องอาศัยหลักฐานแน่ชัดว่า ใครเป็นผู้นำปลาหมอคางดำเข้ามาในประเทศ และส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ กฎหมายที่อาจเกี่ยวข้องคือ พ.ร.บ.ประมง พ.ศ. 2558 และ พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม ซึ่งระบุโทษสำหรับการปล่อยสัตว์น้ำต่างถิ่นที่ก่อให้เกิดความเสียหาย อย่างไรก็ตาม การบังคับใช้กฎหมายในกรณีนี้อาจเป็นไปได้ยาก
แนวทางที่รัฐบาลควรดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาปลาหมอคางดำอย่างยั่งยืน
1. การควบคุมประชากรปลาหมอคางดำผ่านมาตรการทางเศรษฐกิจ
- ส่งเสริมการจับปลาหมอคางดำ เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ หรือพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูป
- สนับสนุนภาคเอกชน ให้มีบทบาทในการจัดการปลาหมอคางดำอย่างเป็นระบบ
2. การออกกฎหมายควบคุมสัตว์น้ำต่างถิ่น
- ปรับปรุง พ.ร.บ.ประมง และ พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม ให้มีบทลงโทษที่เข้มงวดต่อการนำเข้าสัตว์น้ำต่างถิ่น
- ควบคุมการเพาะเลี้ยงและปล่อยสัตว์น้ำต่างถิ่นให้อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม
3. จัดตั้งกองทุนช่วยเหลือเกษตรกรและฟื้นฟูระบบนิเวศ
- ออก มาตรการเยียวยาเกษตรกร ที่ได้รับผลกระทบจากปลาหมอคางดำ
- ฟื้นฟู แหล่งน้ำและระบบนิเวศ ที่ได้รับความเสียหายจากการแพร่ระบาดของสัตว์น้ำต่างถิ่นชนิดนี้
แรงกดดันต่อรัฐบาล: ทางออกที่เป็นไปได้จริงคืออะไร?
จากข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม รัฐบาลสามารถตอบสนองได้เพียงบางข้อเท่านั้น โดย ข้อเรียกร้องที่มีความเป็นไปได้สูงสุดคือการตั้งคณะกรรมการอิสระ ส่วน การกำจัดปลาหมอคางดำทั้งหมดภายใน 1 ปีนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ ในขณะที่ การประกาศเขตภัยพิบัติและการดำเนินคดีทางกฎหมาย ต้องอาศัยข้อกำหนดที่ชัดเจนและกระบวนการทางกฎหมายที่รอบคอบ
เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเกิดผลอย่างยั่งยืน รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับแนวทางการควบคุมประชากรปลาหมอคางดำผ่านมาตรการทางเศรษฐกิจและการออกกฎหมายที่มีประสิทธิภาพ โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

ข้อมูล/ภาพ : ไทยโพสต์