พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาล ได้จัดตั้ง “ทีมพิทักษ์ข้อบังคับการประชุมสภาฯ” ขึ้นจำนวน 20 คน เพื่อรับมือกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะมีขึ้นช่วงต้นสมัยประชุมหน้า จุดประสงค์หลักของทีมนี้ คือทำหน้าที่ตรวจสอบให้การอภิปรายเป็นไปตามข้อบังคับของรัฐสภา ไม่ใช่เพื่อปกป้องตัวบุคคลใดเป็นพิเศษ
แม้พรรคจะยืนยันว่าทีมนี้มีบทบาทเพียงรักษากติกา แต่หลายฝ่ายกลับจับตาว่าการเคลื่อนไหวนี้อาจส่งผลต่อบรรยากาศการอภิปรายโดยรวม โดยเฉพาะเมื่อเป้าหมายของการซักฟอกมุ่งตรงมาที่นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ผู้นำหญิงของไทยที่อยู่ท่ามกลางแรงกดดันจากทั้งฝ่ายค้านและแรงกระเพื่อมภายในพรรค
ทีมพิทักษ์ฯ: เครื่องมือคุมเกม หรือกลไกรักษามาตรฐาน?
รายชื่อของทีมพิทักษ์ข้อบังคับฯ ประกอบด้วยบุคคลที่มีบทบาทสำคัญทางการเมือง เช่น
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด, นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์, นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว, และ นายสุทิน คลังแสง รวมทั้งสิ้น 20 คน จากทั้ง ส.ส.เขต และบัญชีรายชื่อ
นายอนุสรณ์ ระบุว่า ทีมนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์เป็น “องครักษ์พิทักษ์นายกรัฐมนตรี” แต่ทำหน้าที่เพื่อไม่ให้เกิดการอภิปรายที่ใช้ข้อมูลบิดเบือนหรือภาษารุนแรง โดยให้ความสำคัญกับการเคารพข้อบังคับการประชุมเป็นหลัก
“เราไม่ได้เป็นองครักษ์พิทักษ์นายกรัฐมนตรี แต่ทำหน้าที่รักษากติกา หากฝ่ายค้านอภิปรายด้วยข้อมูลที่ไม่เป็นข้อเท็จจริง หรือมีถ้อยคำรุนแรง ทีมเราจะท้วงตามข้อบังคับ”
— Thai PBS, 18 มีนาคม 2568
ถึงแม้ถ้อยแถลงจะชัดเจน แต่ในมุมของสื่อและฝ่ายค้าน ยังมีคำถามตามมาว่า ทีมนี้จะสามารถรักษาความเป็นกลางได้จริงหรือไม่ โดยเฉพาะในช่วงที่เสียงวิจารณ์ต่อรัฐบาลเริ่มเพิ่มสูงขึ้น และบทบาทของฝ่ายค้านในการตรวจสอบมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น
ผลกระทบที่ประชาชนควรจับตา
รายงานจาก ไทยรัฐ และ Thai PBS ชี้ให้เห็นว่า หากทีมพิทักษ์ข้อบังคับฯ ดำเนินงานอย่างเป็นกลางและยึดหลักข้อบังคับอย่างแท้จริง การอภิปรายครั้งนี้อาจกลายเป็นเวทีที่ประชาชนได้เห็นมาตรฐานใหม่ของการเมืองไทยใน 3 ด้าน:
- ลดความวุ่นวายบนเวทีสภา:
การประท้วงพร่ำเพรื่อ และถ้อยคำโจมตีที่ไม่อยู่ในเนื้อหาสาระ อาจลดลง ทำให้ประชาชนสามารถติดตามเนื้อหาสาระได้เต็มที่ - ป้องกันการละเมิดสิทธิในการอภิปราย:
หากมีการพาดพิงโดยไม่มีข้อมูลยืนยัน ทีมพิทักษ์ฯ จะทำหน้าที่เตือนหรือตัดบทได้ทันท่วงที ช่วยคงความยุติธรรมในกระบวนการอภิปราย - ยกระดับคุณภาพของฝ่ายค้าน:
ฝ่ายค้านจะต้องนำเสนอข้อมูลอย่างรอบคอบ มีหลักฐานชัดเจน และไม่สามารถใช้วาทกรรมลอย ๆ ได้อีกต่อไป
ทั้งหมดนี้ อาจทำให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทย หากสามารถดำเนินไปอย่างสร้างสรรค์และเป็นธรรม
บทบาทนี้จะชี้วัดเส้นแบ่งระหว่าง “กลาง” หรือ “เอียง”
แม้เจตนาของการตั้งทีมพิทักษ์ข้อบังคับฯ จะชัดเจนว่าเพื่อรักษาความเรียบร้อยของการประชุม แต่ความเป็นกลางของทีมจะเป็นจุดที่ถูกจับตามองมากที่สุด เพราะหากมีการเลือกปฏิบัติ หรือการตีความที่เอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเกินไป ความเชื่อมั่นจากสาธารณชนอาจสั่นคลอนทันที
สำหรับ นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร แล้ว เวทีอภิปรายครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการทดสอบภาวะผู้นำในช่วงวิกฤต แต่ยังเป็นการทดสอบ “กลไกรัฐสภา” ภายใต้รัฐบาลของเธอว่า เปิดรับการตรวจสอบอย่างเสรีเพียงใด
