เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ประเทศไทยได้รับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวขนาด 7.7 แมกนิจูดที่มีศูนย์กลางอยู่ในประเทศเมียนมา ท่ามกลางความตื่นตัวของประชาชนต่อสถานการณ์ดังกล่าว คำถามที่ได้รับความสนใจไม่น้อยไปกว่าภัยพิบัติ คือบทบาทของ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่ดูเหมือนจะไม่สามารถตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินได้ทันท่วงที ซึ่งนำไปสู่การตั้งข้อสงสัยต่อ คำสั่งของประธาน กสทช. ที่ห้ามกรรมการสั่งการใดๆ หากไม่ได้รับมอบหมายอย่างเป็นทางการ
โพสต์จากกรรมการ กสทช. จุดประเด็นคำถามสังคม
ความเคลื่อนไหวครั้งแรกที่ทำให้ประเด็นนี้ถูกจับตามอง เกิดจากการโพสต์ของ พลอากาศโท ดร.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ กรรมการ กสทช. ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวในช่วงบ่ายของวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา
พลอากาศโท ดร.ธนพันธุ์ ระบุว่า แม้จะเป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่กรรมการ กสทช. ไม่สามารถสั่งการสำนักงานเพื่อให้ดำเนินการใดๆ ได้ หากยังไม่ได้รับ “หนังสือมอบหมาย” อย่างเป็นทางการจาก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช.
ข้อความนี้จุดประกายคำถามสำคัญต่อโครงสร้างอำนาจภายในองค์กรอิสระที่มีหน้าที่กำกับดูแลการสื่อสารของประเทศ ว่าการจำกัดอำนาจของกรรมการในช่วงวิกฤติ เป็นการบริหารที่เหมาะสมหรือไม่
คำสั่งภายในที่จำกัดอำนาจกรรมการ
จากการตรวจสอบเอกสารภายในของ กสทช. พบว่าคำสั่งดังกล่าวมีอยู่จริง โดยลงนามโดย นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2566 ซึ่งระบุชัดเจนว่า กรรมการ กสทช. ไม่มีอำนาจในการสั่งการสำนักงานโดยตรง เว้นแต่จะได้รับมอบหมายจากประธานเป็นรายกรณี
เอกสารฉบับนี้ยังระบุว่า หากกรรมการฝ่าฝืนคำสั่งจะถือเป็นการกระทำผิดวินัย โดยคำสั่งดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันออกคำสั่ง และยังไม่มีการยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงจนถึงปัจจุบัน
ผลที่ตามมา คือแม้แต่กรรมการซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลในระดับชาติ ก็ไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้ด้วยตนเอง แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องการการตอบสนองอย่างเร่งด่วน
โครงสร้างอำนาจที่อาจขัดต่อประโยชน์สาธารณะ
การมีคำสั่งให้รวมอำนาจการสั่งการไว้ที่ประธาน กสทช. เพียงผู้เดียว อาจมีจุดประสงค์เพื่อความเป็นเอกภาพในการบริหาร แต่ในทางปฏิบัติกลับกลายเป็นข้อจำกัดสำคัญในช่วงภาวะวิกฤติ
เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น แผ่นดินไหว ระบบการแจ้งเตือนหรือการสื่อสารเพื่อความปลอดภัยของประชาชน จำเป็นต้องดำเนินการโดยเร็วที่สุด แต่หากต้องรอขั้นตอนทางเอกสารและการมอบหมายจากประธาน ย่อมส่งผลต่อประสิทธิภาพในการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน

ข้อมูล/ภาพ : ผู้จัดการออนไลน์