คำถามถึงความโปร่งใสในกระบวนการสอบสวนยังไร้คำตอบ
เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2567 คณะกรรมการบริหารแพทยสภา มีมติ “เลื่อน” การพิจารณาตัดสินกรณีจริยธรรมของแพทย์โรงพยาบาลตำรวจและโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ที่เกี่ยวข้องกับการรักษา นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี บน ชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจ โดยระบุเหตุผลว่าคณะอนุกรรมการสอบสวนเฉพาะกิจยังอยู่ระหว่างการรวบรวมและพิจารณาข้อมูลเอกสารเพิ่มเติม ซึ่งเพิ่งได้รับจากโรงพยาบาลทั้งสองแห่งเมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ท่ามกลางกระแสคำถามจากสังคมต่อความโปร่งใส และความเท่าเทียมของระบบยุติธรรมในกระบวนการรักษาผู้ต้องขังรายนี้
เอกสารสำคัญที่ล่าช้า จุดเริ่มต้นของคำถาม
เอกสารจาก โรงพยาบาลตำรวจ ถูกส่งถึงแพทยสภาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ขณะที่ โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ส่งเข้ามาก่อนหน้าเพียง 4 วันในวันที่ 24 มีนาคม ทั้งที่ประเด็นนี้ได้รับความสนใจจากสาธารณชนและสื่อมวลชนมานานหลายเดือน
ความล่าช้าในการส่งเอกสารนี้นำไปสู่ข้อสงสัยว่า เป็นการจงใจหน่วงเวลาเพื่อผลประโยชน์ของบุคคลใดหรือไม่ หรือเกิดจากความไม่พร้อมของระบบราชการอย่างแท้จริง ซึ่งในท้ายที่สุด ส่งผลให้กระบวนการสอบสวนต้องเลื่อนออกไปโดยไม่มีการกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจน
การสอบสวน “ลับ” กับความโปร่งใสที่สังคมเรียกร้อง
แพทยสภา ยืนยันว่าการสอบสวนต้องดำเนินไปในลักษณะลับ เพื่อความยุติธรรมและป้องกันการกระทบกระเทือนต่อผู้เกี่ยวข้อง แต่ในทางกลับกัน การปิดบังรายละเอียดต่อสาธารณะก็อาจทำให้เกิดความเคลือบแคลงใจในสังคม
ภายใต้สภาวะที่ประชาชนเรียกร้องความชัดเจน การที่องค์กรวิชาชีพด้านการแพทย์เลือกปิดข้อมูล อาจทำให้ความเชื่อมั่นในกลไกตรวจสอบจริยธรรมต้องเผชิญแรงสั่นสะเทือน
“ทักษิณ” กับห้องพิเศษบนชั้น 14: การรักษาเหนือสิทธิ?
นายทักษิณ ชินวัตร ถูกควบคุมตัวในฐานะผู้ต้องขัง แต่ได้รับการรักษาในห้องพิเศษของโรงพยาบาลตำรวจอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายเดือน ซึ่งแตกต่างจากผู้ต้องขังรายอื่นที่มักถูกส่งกลับเรือนจำทันทีเมื่ออาการดีขึ้น
สถานะที่ “พิเศษ” นี้ ทำให้เกิดคำถามว่า กระบวนการทางการแพทย์ยังคงยึดมั่นในหลัก “ความเท่าเทียม” หรือไม่? หรือกำลังกลายเป็นเครื่องมือรับใช้ “อภิสิทธิ์ชน” ที่ไม่สามารถถูกตรวจสอบได้
เมื่อแพทยสภาถูกจับตามอง: ศรัทธาในสถาบันจะยืนหยัดได้แค่ไหน?
หากผลการสอบสวนพบว่ามีการกระทำผิดจริยธรรมจริง คำถามต่อไปก็คือ แพทยสภาจะดำเนินการลงโทษอย่างไร? และจะเพียงพอที่จะฟื้นฟูศรัทธาในระบบแพทย์ไทยหรือไม่?
การเลื่อนตัดสินครั้งนี้เป็นบททดสอบสำคัญของ แพทยสภา ในการรักษาความน่าเชื่อถือของสถาบัน และเพื่อให้สังคมเชื่อมั่นว่ามาตรฐานวิชาชีพทางการแพทย์ของไทยยังยืนอยู่บนหลักจริยธรรม ไม่ใช่ความสัมพันธ์ทางการเมืองหรืออำนาจ

ข้อมูล/ภาพ : ไทยโพสต์