วันที่ 8 เมษายน 2568 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางนัดฟังคำพิพากษาคดีที่ นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล อดีตรักษาการ เลขาธิการ กสทช. ยื่นฟ้องกรรมการ กสทช. 4 ราย ฐานใช้อำนาจโดยมิชอบจากการลงมติถอดถอนเขาออกจากตำแหน่ง โดยคดีนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องความขัดแย้งระหว่างบุคคลในองค์กร แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างและความล้มเหลวของระบบตรวจสอบภายในหน่วยงานรัฐ
การปลดรักษาการเลขาฯ ที่กลายเป็นคดีฟ้องกลับ
สาเหตุของการปลด นายไตรรัตน์ เริ่มต้นจากประเด็นที่สำนักงาน กสทช. อนุมัติงบประมาณกว่า 600 ล้านบาทจากกองทุน กทปส. เพื่อให้ การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด ฟุตบอลโลก 2022 โดยมีเงื่อนไขใน MOU ว่าผู้รับใบอนุญาตทุกแพลตฟอร์มต้องได้รับสิทธิในการรับชมอย่างเท่าเทียม
แต่ภายหลัง กกท. กลับไปทำข้อตกลงแยกกับกลุ่มทุนรายใหญ่ คือ ทรู เพื่อให้สิทธิ์เฉพาะบางแพลตฟอร์ม นำไปสู่ปัญหา “จอดำ” ที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ พร้อมคำถามจากสาธารณะว่าเงินภาษีถูกรักษาผลประโยชน์ของใครกันแน่?
รายงานตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า นายไตรรัตน์ มีชื่อปรากฏอยู่ในกระบวนการรับรู้และอนุมัติงบประมาณดังกล่าว ส่งผลให้กรรมการ กสทช. 4 รายมีมติให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย
ระบบที่ออกแบบให้ “ไม่มีใครสอบใครได้จริง”
แม้กรรมการเสียงข้างมากจะเห็นว่าการสอบสวนจำเป็นต้องดำเนินการทันที แต่ ระเบียบของ กสทช. กลับระบุว่า ผู้ที่มีอำนาจในการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนคือ เลขาธิการ กสทช. เท่านั้น และในเวลานั้นตำแหน่งดังกล่าวก็คือ นายไตรรัตน์ เอง
กล่าวอีกนัยหนึ่ง คนที่อยู่ในข่ายต้องถูกสอบ กลับเป็นผู้มีอำนาจในการหยุดกระบวนการสอบสวน
เพื่อลดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ กรรมการจึงลงมติถอดถอนนายไตรรัตน์จากตำแหน่งรักษาการฯ แล้วให้บุคคลอื่นมาทำหน้าที่แทน เพื่อให้สามารถเดินหน้ากระบวนการตรวจสอบได้ตามระเบียบ
แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่า นายไตรรัตน์กลับฟ้องกรรมการทั้ง 4 คน โดยระบุว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการกลั่นแกล้งโดยมิชอบ
ระบบตรวจสอบที่ใช้ไม่ได้จริง และอำนาจที่ไม่ถูกจำกัด
แม้จะมีมติปลด แต่ก็ไม่สามารถบังคับใช้ได้ เพราะขาดการลงนามจาก ประธาน กสทช. ทำให้นายไตรรัตน์ยังสามารถใช้อำนาจในตำแหน่งรักษาการได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการแต่งตั้ง นิติกร ขึ้นรักษาการแทนตัวเอง การโยกย้ายภายใน การยกเลิกการสอบวินัย และการใช้มติสวนกระแส
สิ่งเหล่านี้สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างในองค์กร ว่าระเบียบและระบบที่มีอยู่ ไม่สามารถรับมือกับภาวะความขัดแย้งของอำนาจภายในได้เลย
บทบาทของกลุ่มทุนใหญ่ในเงามืด
หนึ่งในคำถามที่ยังคงไร้คำตอบคือ บทบาทของทรู ในเหตุการณ์ทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็น
การได้รับสิทธิพิเศษในการถ่ายทอดเกินกว่าข้อตกลงเดิม
การที่ผู้บริโภคจำนวนมากไม่ได้รับสิทธิ์เท่าเทียม
คำถามจากนักวิชาการถึงการใช้เงินภาษี
และข้อเท็จจริงที่ว่า กรรมการ กสทช. ที่มีมติไม่เป็นผลดีกับทรู มักตกเป็นผู้ถูกฟ้อง
ทั้งหมดนี้เป็นแค่ความบังเอิญ หรือมีบางอย่างที่ไม่อาจแยกออกจากกัน?
ถึงเวลาทบทวนโครงสร้างองค์กรอิสระ
ไม่ว่าศาลจะตัดสินคดีนี้อย่างไร สิ่งที่ปรากฏชัดเจนคือ องค์กรที่ควรจะมีหน้าที่ตรวจสอบ กลับไม่มีโครงสร้างที่ทำหน้าที่นั้นได้จริง
คำถามคือ เราจะยังยอมรับ “ระบบที่ไม่มีใครสอบใครได้” ไปจนถึงเมื่อไหร่?
เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าผู้ใช้อำนาจในวันนี้ ไม่กำลังอยู่นอกขอบเขตของความรับผิด?
และเงินภาษีของประชาชน… ยังถูกใช้เพื่อประโยชน์ของประชาชนอยู่จริงหรือไม่?
หากวันนี้เราลืมไปแล้วว่าเคยมีเสียงเรียกร้องให้ตรวจสอบเรื่องลิขสิทธิ์บอลโลก ก็อยากให้วันนี้เป็นวันที่เราเริ่มถามคำถามใหม่
เพราะไม่ใช่แค่ความจริงยังไม่ถูกเปิดเผย แต่คนที่ควรเป็นผู้ถูกสอบสวน ยังสามารถใช้อำนาจอย่างเต็มที่
แบบนี้… ยังเรียกว่าเป็น “องค์กรอิสระ” ได้อีกหรือ?

ข้อมูล : thepublisherth