22 เมษายน 2568 กลายเป็นอีกหนึ่งวันบันทึกหน้าสำคัญในสมุดบันทึกการเมือง-ตุลาการไทย เมื่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษาคดีใหญ่ที่โยงใยตั้งแต่ยุครัฐบาล คสช. ถึงวันนี้ กับเรื่องราวที่คนทั้งประเทศยังจำขึ้นใจ “บอส อยู่วิทยา“
คดีนี้ พนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 1 เป็นโจทก์ฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร., นายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด และพวกรวม 8 คน ฐานร่วมกันเปลี่ยนแปลงพยานหลักฐานเพื่อช่วยเหลือบอส หนีความผิดจากคดีขับรถชนตำรวจเสียชีวิตเมื่อปี 2555
สมยศ รอด – เนตร ไม่รอด
ศาลพิเคราะห์แล้ว พิพากษายกฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ และจำเลยอีก 5 คน เหตุพยานหลักฐานไม่เพียงพอเชื่อมโยงว่ามีเจตนาร่วมกันกระทำผิด
แต่สำหรับ “เนตร นาคสุข” ศาลเห็นชัดว่า ใช้อำนาจสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา โดยอิงคำให้การของพยานใหม่ที่ไม่น่าเชื่อถือ ทั้งที่มีหน้าที่ต้องดำเนินคดีให้ครบถ้วนรอบคอบในฐานะอัยการระดับสูง เป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ จึงพิพากษาจำคุก 3 ปี พร้อมออกหมายขังในระหว่างอุทธรณ์
คำพิพากษาที่ดังกว่ากระแสสังคม
ศาลไม่เพียงแต่ตัดสินความผิดของบุคคล แต่ยังตัดสินแนวคิดที่เคยฝังลึกในระบบยุติธรรมไทยว่า “ใครใหญ่ ใครรอด” คำพิพากษาครั้งนี้บอกกับสังคมว่า ต่อให้เวลาผ่านไปกว่าทศวรรษ ความยุติธรรมก็ยังเดินทางมาได้ แม้จะล่าช้า…แต่มาแน่
บอสยังลอยนวล – กระบวนการยังไม่สิ้นสุด
แม้วันนี้จะมีคนรับโทษ แต่ต้นเหตุแห่งปัญหาอย่าง “บอส อยู่วิทยา” ยังคงไร้เงาในกระบวนการยุติธรรมไทย
ศาลย้ำว่า หากวันนั้นเนตรทำหน้าที่อย่างรอบคอบ อาจไม่มีวันนี้ที่ผู้ต้องหาคดีฆ่าคนตายยังลอยนวลอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างสบายใจ
เสียงกระซิบจากกาลเวลา
“คดีบอส” เป็นมากกว่าคดีอาญา แต่มันคือแบบทดสอบความอดทนและศรัทธาของสังคมต่อกฎหมาย และต่อสำนึกของผู้มีอำนาจ
แม้วันนี้จะมีเสียงสะท้อนจากห้องพิจารณาคดีที่ดังกระหึ่ม แต่คำถามของสังคมยังไม่เงียบหายไปไหน
เราจะยอมให้กฎหมายไทยแพ้ให้กับอำนาจและเงินตราอีกนานแค่ไหน?

ข้อมูล : Thai PBS