เสียงกระซิบของการทูต ไม่ได้ดังจากเวทีใหญ่เสมอไป หากแต่บางครั้งเกิดขึ้นในห้องรับรองอันเงียบสงบ ที่สองผู้นำต่างรุ่นนั่งสนทนาอย่างเปิดใจ หนึ่งคือหญิงสาวผู้ก้าวมาจากตระกูลแห่งอำนาจการเมืองไทย อีกหนึ่งคือบุรุษผู้เปลี่ยนจากนายกรัฐมนตรีสู่ประธานวุฒิสภากัมพูชา ผู้คร่ำหวอดบนเวทีอาเซียนมายาวนาน

เช้าวันที่ 23 เมษายน 2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย ในวัยเพียงไม่ถึงสี่สิบ เดินทางเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการในวาระเฉลิมฉลอง 75 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-กัมพูชา โดยมีภารกิจแรกคือการเข้าเยี่ยมคารวะ “สมเด็จฯ ฮุน เซน” อดีตผู้นำผู้ไม่เคยหายไปจากเงาของอำนาจ

ในการพบหารือครั้งนี้ ทั้งสองได้ถักทอถ้อยคำที่สะท้อนความตั้งใจ ไม่ใช่แค่สร้างสัมพันธ์ระดับรัฐบาล แต่เป็นการเชื่อมโยงหัวใจของสองประเทศเพื่อนบ้าน ผ่านความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และแม้แต่เรื่องที่ดูเล็กน้อยอย่างบทบาทสตรีและเยาวชนในสังคม ซึ่งกลับเป็นประเด็นที่นางสาวแพทองธารหยิบยกขึ้นพูดด้วยความเชื่อมั่น

ที่วุฒิสภากัมพูชา การพบกันระหว่างผู้นำหญิงรุ่นใหม่กับอดีตผู้นำผู้มากด้วยประสบการณ์ อาจไม่ใช่แค่พิธีกรรมทางการทูต แต่คือการส่งสัญญาณว่าความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา กำลังเคลื่อนตัวบนรางใหม่ ที่ต่างจากบทเรียนในอดีตที่ขรุขระด้วยเรื่องเขตแดนและการเมืองภายใน

นอกจาก “ฮุน เซน” นายกรัฐมนตรีไทยยังได้หารือกับ “สมเด็จฯ ควน โซะดารี” ประธานสภาแห่งชาติกัมพูชา เพื่อหารือบทบาทของรัฐสภาทั้งสองประเทศ โดยไม่ลืมที่จะยกประเด็นสตรีขึ้นมาเป็นศูนย์กลาง

ทริปครั้งนี้ ไม่ได้จบลงแค่การจับมือ หากแต่มีการลงนาม MOU 7 ฉบับ ที่พาดผ่านตั้งแต่แรงงาน แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน จนถึงโครงสร้างพื้นฐานอย่างสะพานมิตรภาพแห่งใหม่ ที่จะเชื่อมเศรษฐกิจและผู้คนของสองฝั่งให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ในบรรยากาศการเมืองที่เปราะบาง ความอ่อนน้อมและการฟังกัน อาจเป็นคำตอบที่ดีที่สุดของรัฐบุรุษในศตวรรษที่ 21 และสำหรับแพทองธาร ชินวัตร ครั้งนี้อาจเป็นก้าวเล็กๆ ที่เริ่มต้นจากรอยยิ้ม… แต่เดินไปได้ไกลกว่าความขัดแย้ง

ข้อมูล/ภาพ : PPTV