ในวันที่การเมืองไทยคล้ายลอยอยู่ในมหาสมุทรของความไม่แน่นอน เรื่องเล็ก ๆ อย่าง “คุณสมบัติรัฐมนตรี” ก็อาจกลายเป็นคลื่นลูกใหญ่ที่โค่นเรือทั้งลำได้
ล่าสุดชื่อของ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ถูกโยนเข้าสู่เวทีข้อกังขาอีกครั้ง ไม่ใช่เรื่องนโยบายพลังงาน ไม่ใช่เรื่องเกมการเลือกตั้ง แต่เป็นเรื่อง “คุณสมบัติความเหมาะสม” ที่รัฐธรรมนูญเขียนไว้อย่างไม่อ้อมค้อม
รัฐธรรมนูญ มาตรา 187 กำหนดว่า รัฐมนตรีต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับการบริหารบริษัทใด ๆ ที่ตนมีหุ้น หรือเคยมีหุ้นอยู่ ต้องโอนหุ้นให้นิติบุคคลจัดการ และต้อง “วางมือ” อย่างสิ้นเชิง
นายพีระพันธุ์โอนหุ้นไปเรียบร้อยแล้ว ใช่ แต่กลับปรากฏชื่อเป็น “กรรมการบริษัทผู้มีอำนาจลงนาม” ในบริษัทเดิมที่ตนเคยถือหุ้นใหญ่กว่า 70%
ถ้าเปรียบกับการถอนตัวจากเวที ก็เหมือนโบกมือลาผู้ชม แต่ยังแอบไปนั่งหลังฉากสั่งคิวแสงไฟ
การโอนหุ้นเป็นแค่พิธีกรรม?
แล้วการไม่ลาออกจากกรรมการบริษัทเป็น “อุบัติเหตุ” หรือ “ตั้งใจ”?
นี่ไม่ใช่แค่การท้วงติงเรื่องตัวบทกฎหมาย หากแต่เป็นการตั้งคำถามถึงเจตนาที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
สนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษากรรมาธิการกฎหมายฯ เป็นผู้จุดชนวนไฟครั้งนี้ด้วยการยื่นเรื่องร้อง ป.ป.ช. เพื่อให้ไต่สวนอย่างเป็นทางการ
น้ำเสียงของเขาชัดเจน ว่านี่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นเรื่องความโปร่งใสที่รัฐมนตรีทุกคนต้องยึดถือ
และในหมากกระดานการเมืองที่แต่ละตัวหมากเดินด้วยชั้นเชิง
คำถามสำคัญคือ ใครกันแน่ที่รอเสียบตำแหน่ง?
และใครที่อยากเห็นเก้าอี้รัฐมนตรีพลังงานว่างลง เพื่อเปิดโต๊ะเจรจาใหม่?
อย่าลืมว่ากระทรวงพลังงาน ไม่ใช่กระทรวงเล็ก ๆ
มันคือบ่อทองแห่งผลประโยชน์
มันคือบ่อขุมกำลังทางนโยบาย
และมันคือบ่อที่ไม่มีใครอยากปล่อยมือ
ในที่สุด เรื่องนี้จะลงเอยที่ศาลรัฐธรรมนูญ? ที่ ป.ป.ช.? หรือที่โต๊ะเจรจาการเมือง?
ประชาชนยังไม่รู้
แต่สิ่งที่แน่ชัดวันนี้ คือ…
“ความไว้ใจ” ย่อมสั่นคลอนทุกครั้งที่ผู้นำยังยืนอยู่ในที่ร่มเงาของผลประโยชน์
