เมื่อใดที่บ้านเมืองเรามีการตั้งข้อสังเกตถึง “ความเท่าเทียม” ในกระบวนการยุติธรรม คดี “ทักษิณ ชั้น 14” ก็เป็นอีกกรณีศึกษาที่น่าสะเทือนใจอย่างยิ่ง
อดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งควรอยู่ในเรือนจำ กลับได้สิทธิพิเศษให้พักรักษาตัวในห้องพิเศษชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจหลายเดือน ทั้งที่ควรจะถูกคุมขังตามโทษที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว คำถามสำคัญคือ นี่คือการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมหรือคือการเปิดประตูให้อภิสิทธิ์ชนเดินสบายๆ ในกระบวนการยุติธรรม?
“ในประเทศที่เส้นสายใหญ่กว่ากฎหมาย คนตัวเล็กมีแต่จะหายใจทวนลม”
คำร้องของนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ที่ยื่นให้ศาลฎีกาพิจารณาบังคับจำคุกตามโทษถึงที่สุด กำลังจะได้รับการพิจารณาอีกครั้งในวันที่ 30 เมษายน 2568 หลังจากเลื่อนมาแล้วถึงสองรอบ เหตุใดเรื่องง่ายๆ เช่นนี้จึงต้องเลื่อนถึงสามครั้ง? กระบวนการที่ควรตรงไปตรงมากลับเต็มไปด้วยความหนืดเหนียวอย่างน่าประหลาด
ในขณะที่ ป.ป.ช. กำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม และแพทยสภาจะประชุมใหญ่เพื่อวินิจฉัยจริยธรรมแพทย์ที่เกี่ยวข้องในวันที่ 8 พฤษภาคม คำถามคือ สังคมต้องรอผลสอบอีกกี่รอบถึงจะเห็นความจริงที่ไม่เลือกปฏิบัติ?
แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีมติเอกฉันท์ไม่รับคำร้องกรณีเอื้อประโยชน์ให้นายทักษิณ โดยให้เหตุผลว่าไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ แต่คำถามคือ ระบบที่ผู้ต้องหาได้รับสิทธิพิเศษมากกว่าผู้ต้องหารายอื่นในรูปแบบนี้ ควรถือว่าเป็น “ความยุติธรรม” แล้วหรือ?
“หากกฎหมายมีสองมาตรฐาน ความเชื่อมั่นในบ้านเมืองก็ย่อมมีสองมาตรฐานเช่นกัน”
คำกล่าวของนายทักษิณที่ว่า “ไม่กังวล ทุกอย่างว่าตามกระบวนการ” นั้น น่าจะทำให้ใครหลายคนตั้งข้อสังเกตตามว่า กระบวนการที่ว่านั้น เป็นกระบวนการแบบไหน? กระบวนการที่พลิกแพลงได้ตามฐานะและบารมี หรือกระบวนการที่ยึดหลักนิติรัฐอย่างแท้จริง?
ถ้าวันนี้คนมีอำนาจและอดีตอำนาจยังสามารถใช้สิทธิที่แตกต่างจากสามัญชนได้ แล้วประชาชนตัวเล็กตัวน้อยยังจะหวังพึ่งพาความยุติธรรมได้จริงหรือไม่?
ประเทศไทยวันนี้ สะท้อนในกระจกบานไหนกันแน่?
“เมื่อกระจกบานเดิมแตกร้าว เงาที่สะท้อนก็ไม่เคยซื่อตรง”
