“ในประเทศที่การเมืองคือสมรภูมิแห่งความทรงจำ การเดินทางเพียงไม่กี่ชั่วโมง อาจหมายถึงยุทธศาสตร์ที่ต้องควบคุมยิ่งกว่าเส้นพรมแดน”
เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 ศาลอาญามีคำสั่งยกคำร้องของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับเชิญไปยังรัฐกาตาร์เพื่อร่วมงานเลี้ยงที่จัดขึ้นโดยเจ้าผู้ครองนคร เป็นงานเลี้ยงเกียรติยศแก่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
แม้นายทักษิณในปัจจุบันจะดำรงตำแหน่ง “ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ” ซึ่งได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลไทย แต่ศาลยังเห็นว่า หนังสือเชิญที่แนบมาในคำร้องไม่ได้ระบุว่าเป็นการเชิญในฐานะผู้แทนของรัฐบาลไทย อีกทั้งยังไม่มีเอกสารกำกับจากหน่วยงานราชการที่จะสนับสนุนภารกิจทางการทูตหรือเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการ
ศาลจึงมีความเห็นว่า การเดินทางครั้งนี้เป็นกิจกรรมส่วนตัว และอยู่ในช่วงเวลาใกล้วันนัดพิจารณาคดีสำคัญของนายทักษิณ ทั้งคดีมาตรา 112 และคดี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จึงไม่มีเหตุผลเพียงพอให้อนุญาตให้ออกจากราชอาณาจักร
ทนายความระบุว่า การเดินทางครั้งนี้อาจสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ หากมีโอกาสพบปะกับประธานาธิบดีทรัมป์และคณะ แต่เมื่อศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่ใช่ภารกิจที่มีลักษณะเร่งด่วน หรือมีพันธะระหว่างประเทศที่ชัดเจน จึงปัดตกคำร้องดังกล่าว
กรณีนี้กลายเป็นกระจกสะท้อนสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า แม้บุคคลจะมีตำแหน่งในรัฐบาล แต่ “ความไว้ใจทางการเมือง” ยังเป็นปัจจัยที่เหนือกว่าบทบาทตามกฎหมายหรือมติ ครม.
“ถ้าเป็นบุคคลอื่นที่ไม่มีอดีตต้องแบก จะได้รับการพิจารณาเช่นเดียวกันหรือไม่?”
ไม่ว่าคำตอบคืออะไร ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้คือ “ความทรงจำทางการเมืองไทย” ยังคงเป็นเงื่อนไขสำคัญต่อกระบวนการยุติธรรมและการบริหารรัฐ
เมื่ออดีตนายกฯ ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษารัฐบาล ยังไม่สามารถใช้ตำแหน่งเพื่อออกนอกประเทศได้ในภารกิจที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจและการทูตอย่างชัดเจน เท่ากับเป็นการส่งสัญญาณว่า ความกลัวอดีตยังคงปกคลุมทุกก้าวของอนาคต
“และตราบใดที่เกมยังไม่จบ หมากทุกตัวก็ยังต้องถูกคุมไว้ให้แน่น”
