“หมอที่ดี…คือหมอที่รักษาชีวิต ไม่ใช่รักษาอำนาจ”
ในประเทศที่ประชาธิปไตยเดินสะดุดเพราะเกมอำนาจ การแพทย์ควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยสุดท้ายที่ไม่ถูกครอบงำด้วยเงาอิทธิพล แต่คำวินิจฉัยของ แพทยสภา เมื่อ 8 พฤษภาคม 2568 กำลังสั่นคลอนศรัทธาใน “จรรยาบรรณ” ของวิชาชีพแพทย์
ผู้ที่ถูกพักใช้ใบอนุญาตในครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงแพทย์ธรรมดา แต่คือผู้บัญชาการด้านสุขภาพขององค์กรตำรวจ พล.ต.ท. โสภณรัชต์ สิงหจารุ อดีตนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ และ พล.ต.ท. ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่คนปัจจุบัน สองบุคคลที่ผ่านการศึกษาระดับนานาชาติ เคยมีบทบาทสำคัญในการบริหารโรงพยาบาลระดับประเทศ
แต่ในสายตาแพทยสภา ทั้งคู่กลับไม่อาจหลีกเลี่ยงความผิดตามจริยธรรมวิชาชีพ
ข้อกล่าวหาชัดเจนว่า…ให้ข้อมูลทางการแพทย์ไม่ตรงข้อเท็จจริง เกี่ยวกับภาวะป่วยของนายทักษิณ ชินวัตร ขณะพักรักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันว่าอยู่ในภาวะวิกฤตตามที่แจ้งไว้ในเอกสาร
คำถามคือ การแพทย์กำลังกลายเป็นเครื่องมือของใคร?
หมอใหญ่ในระบบยุติธรรม หรือผู้แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม?
โสภณรัชต์ ไม่ใช่เพียงหมอผู้เคยอยู่กับคนไข้ แต่ยังเคยนั่งในตำแหน่ง “กรรมการแพทยสภา” ผู้กำกับจริยธรรมของหมอทั่วประเทศ
ครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้กำหนดกรอบคุณธรรม แต่วันนี้กลับถูกกรอบนั้นล้อมตัวเองไว้
ขณะที่ ทวีศิลป์ แพทย์ใหญ่คนปัจจุบัน แม้ไม่ได้มีบทบาทในการรักษาโดยตรง แต่ก็ปรากฏชื่ออยู่ในมติลงโทษร่วมกัน เพราะเป็นหนึ่งในผู้รับผิดชอบในสายการบังคับบัญชา
นี่ไม่ใช่แค่การพักใบแพทย์…แต่มันคือสัญญาณเตือนว่า “จริยธรรมวิชาชีพ” กำลังถูกเขย่าโดยเงาแห่งอำนาจ
คำถามต่อรัฐ: ความเงียบคือความร่วมมือ?
แม้มติของแพทยสภาจะยังต้องรอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขลงนามให้มีผลจริง แต่ความชัดเจนของมติทำให้สังคมตั้งคำถามต่อไปได้ว่า เหตุการณ์นี้สะท้อนความพยายามใช้ระบบสุขภาพเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองหรือไม่?
เมื่อระบบการแพทย์ถูกใช้เพื่อ “เลี่ยงโทษ” แทนที่จะ “เยียวยาโรค” เรากำลังเดินเข้าสู่จุดที่ “ความยุติธรรมถูกเขียนด้วยปากกาแพทย์…ในนามของการเมือง”
