ในประเทศที่นักการเมืองหลายคนยังคิดว่า “การทำเพื่อประชาชน” คือการเอาหน้าจากถุงยังชีพ และ “การไม่ทำธุรกิจ” คือการแค่ปล่อยบริษัทนอนนิ่งบนกระดาษ นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องการขัดรัฐธรรมนูญ หรือจริยธรรม แต่มันคือวิธีคิดที่ ย้อนยุค และอาจเรียกได้ว่า ตีความกฎหมายแบบเอาตัวรอด
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน คือบุคคลล่าสุดที่กำลังเดินเข้าสู่บททดสอบที่หนักหน่วงที่สุดในชีวิตทางการเมือง เมื่อพฤติกรรมในอดีตและปัจจุบัน เริ่มย้อนกลับมาตั้งคำถามถึงคุณสมบัติ ความเหมาะสม และความจริงใจ
“แจกของ” หรือ “หาประโยชน์”?
เหตุการณ์ที่จุดประกายความไม่พอใจของสังคม เริ่มจากการแจกถุงยังชีพปลายปี 2567 ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมสติกเกอร์ชื่อ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” แปะเด่นบนถุงราวกับโลโก้ผู้สนับสนุนหลัก ทั้งที่ไม่มีการชี้แจงที่มาของงบชัดเจน การแปะชื่อแบบนี้อาจถูกมองว่าเป็นการหาเสียงแฝง หรือการใช้โอกาสจากความทุกข์ของประชาชนเพื่อสร้างทุนทางการเมือง — เรื่องนี้แม้ไม่ผิดกฎหมายโดยตรง แต่สะท้อนวิธีคิดที่น่าห่วงของผู้บริหารประเทศในยุคปัจจุบัน
หุ้น 3 บริษัทกับรัฐธรรมนูญที่ไม่มีพื้นที่สีเทา
ขณะเดียวกัน ยังพบว่า นายพีระพันธุ์มีชื่อเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นใน 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท วีพี แอโร่เทค จำกัด, โสภา คอลเล็คชั่นส์ จำกัด และ รพีโสภาค จำกัด โดยเขาอ้างว่าบริษัทไม่มีการดำเนินกิจการ แต่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 187 ระบุชัดว่า “ห้ามรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัท” — ไม่ว่าจะขยับตัวหรืออยู่นิ่งก็ผิด ถ้าจะเป็นผู้นำประเทศ ต้องรู้ว่าความรับผิดชอบนั้นใหญ่เกินกว่าจะ “ปล่อยผ่าน”
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องตัวบทกฎหมาย แต่มันคือเรื่องของ เจตนา และ จริยธรรม ที่สังคมไทยไม่ควรปล่อยให้เป็น “ของแถม” จากอำนาจรัฐ
พันธมิตรที่เริ่มระแวง และเงาที่สะท้อนรัฐบาล
ปัญหานี้ไม่เพียงเป็นภาระของตัวนายพีระพันธุ์เท่านั้น แต่กำลังส่งแรงสะเทือนถึงรัฐบาลโดยรวม กลุ่มอดีตสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติถึงขั้นยื่นหนังสือถึงนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร เรียกร้องให้ปลดเขาออกจากตำแหน่งเพื่อป้องกัน “กรรมทางการเมือง” ที่กำลังจะลุกลามกลืนทั้ง ครม.
กกต. และ ป.ป.ช. ก็เริ่มเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว หากพบมูลความผิด คำว่า “ถือหุ้นเฉยๆ” อาจไม่เพียงพอสำหรับการพ้นผิด และอาจกลายเป็นบาดแผลถาวรในเส้นทางการเมืองของเขา
จะยืนหยัดอย่างคนดี ต้องชัดในทุกมิติ
ในวันที่ประชาชนเริ่มรู้เท่าทันการสร้างภาพ และตั้งคำถามกับทุกสัญญาณของการเอื้อประโยชน์ส่วนตัว ใครที่ยังคิดว่าความจริงจะถูกกลบได้ด้วยถุงยังชีพ หรือชื่อบริษัทที่ไม่มีรายได้ ต้องกลับไปทบทวนว่า “ความเป็นผู้นำ” ไม่ได้วัดกันแค่ภาพลักษณ์หน้ากล้อง แต่วัดกันที่จิตสำนึกเมื่อไร้คนมอง
