เสียงประชาชน ไม่ได้ดังเฉพาะในสภา มันเริ่มจากปลายถนนลูกรังในหมู่บ้าน ก่อนจะเดินทางมายังศาลาว่าการเมืองเล็ก
การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2568 ไม่ได้เป็นเพียงกลไกเชิงพิธีกรรมในระบอบประชาธิปไตย แต่คือ “คำตัดสิน” ของประชาชนว่า ใครควรจะมีสิทธิ์บริหารเมืองของพวกเขาใน 4 ปีข้างหน้า
เชียงใหม่เลือก “อัศนี บูรณุปกรณ์” จากพรรคเพื่อไทยกลับมาอีกครั้ง ทั้งที่เสียงวิจารณ์ลอยมาเป็นระลอกว่าหมดยุคแล้วสำหรับคนเก่าค่ายเดิม แต่คะแนนก็ยังเทน้ำเทท่ามาให้ เหมือนจะบอกว่า “ถ้าคนใหม่มันไม่น่าไว้ใจ ก็ขออยู่กับคนที่รู้มือดีกว่า”
ในขณะที่นครสวรรค์ “จิตตเกษมณ์ นิโรจน์ธนรัฐ” กลับมาแบบไร้คู่เทียบ คู่แข่งอย่าง “วรวุฒิ ตันวิสุทธิ์” จากพรรคประชาชนถูกทิ้งห่างเกินหมื่นคะแนน เกมนี้ไม่ใช่แค่ชิงเก้าอี้ แต่มันคือศึกศักดิ์ศรีของ “คนทำจริง” กับ “คนเสนอแผน”
นนทบุรี “สมนึก ธนเดชากุล” ขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งอีกครั้ง ชนะขาดเช่นกัน นี่คือสิ่งที่คนเมืองบางบัวทองบางศรีเมืองตอบแทน “นายกตุ้ย” ที่สร้างเมืองจนคนจำได้ว่ารัฐบาลกลางไม่เคยให้เงินมากขนาดนี้ แต่เขาก็สร้างได้ด้วยงบจำกัด
โคราชเลือก “วรรณรัตน์ ชาญนุกูล” จากชาติพัฒนา พรรคเก่าไม่ตาย ถ้ายังรู้จักปลุกไฟในคนเมืองได้ เกมที่นี่จึงไม่ใช่แค่เรื่องตัวบุคคล แต่คือภาพจำของพรรคที่ยังผูกโยงกับชื่อเมือง
ที่น่าสนใจคือ เทศบาลเมืองเล็ก ๆ อย่างนครปฐม “สมโชค พงษ์ขวัญ” ชนะในสนามที่คับแคบด้วยคะแนนเฉือน บอกเราว่าที่นี่ประชาชน “เลือกแบบมองตา” ไม่ได้ใช้กระแสหรือพรรคพวกเป็นหลัก
ส่วนภูเก็ต เมืองที่ว่ากันว่าเปลี่ยนใจยาก กลับเลือก “ศุภโชค ละอองเพชร” จากทีมรักภูเก็ต ด้วยคะแนนเฉือนกันหลักร้อย สะท้อนความสูสีแบบที่คนทำงานจริงเท่านั้นถึงจะชนะได้
มองลึกลงไปในตัวเลข ทุกเมืองมีเรื่องราว บางเมือง “รักษาเก้าอี้” ได้เพราะทำงานจนชาวบ้านจดจำได้ บางเมือง “เปลี่ยนมือ” เพราะประชาชนเบื่อเสียงโฆษณาแบบล่องลอยที่ไม่มีหลักฐานชิ้นใดปรากฏในเมืองจริง
การเมืองท้องถิ่นจึงไม่ใช่แค่เรื่องนโยบาย แต่มันคือเรื่องของ “ความไว้ใจ” และ “ภาพที่ชาวบ้านเห็นทุกเช้าเย็น”
ต่างจากสนามเลือกตั้งระดับประเทศ ที่เต็มไปด้วยโพลล์ บิ๊กดาต้า และการตลาดเชิงลึก การเลือกตั้งเทศบาลคือสนามของความสัมพันธ์ระหว่าง “นายก” กับ “ร้านขายก๋วยเตี๋ยวข้างศาลากลาง”
นี่แหละคือการเมืองแบบที่ควรเป็น
ในวันที่หลายคนตั้งคำถามว่า “ประชาธิปไตยไทยยังอยู่ไหม?” ลองย้อนมามองการเลือกตั้งเทศบาล แล้วจะพบว่า ประชาชนคนตัวเล็กเขายังไม่เคยหยุดใช้สิทธิ์ เพียงแต่พวกเขาเลือกใช้ “กับคนที่เขาเห็นหน้าได้ทุกวัน” ไม่ใช่คนที่โผล่มาเฉพาะตอนหาเสียง
ประชาธิปไตยในความหมายของคนท้องถิ่น อาจไม่ได้สวยหรูแบบหนังสือเรียน แต่มันจับต้องได้ และเดินดินจริง ๆ
