พีระพันธุ์-เอกณัฐ กับศึก “ปฏิรูปพลังงาน” หรือแค่พลิกกระดานเก่าให้ทุนใหม่เล่น?

ท่ามกลางอุณหภูมิพลังงานที่ร้อนแรงกว่าเตาแก๊ส กระทรวงพลังงานที่เคยนิ่งเฉยกลับปรากฏเสียงประกาศกร้าวดังสนั่นจากสองรัฐมนตรีแห่งพรรครวมไทยสร้างชาติ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค และนายเอกณัฐ พร้อมพันธุ์ ที่ลั่นวาจาต่อหน้าสาธารณชนว่า “จะกวาดล้างมาเฟียการไฟฟ้าให้สิ้นซาก” พร้อมคำมั่นที่ฟังดูดีเสียจนต้องยกหูขยี้ตา “ค่าไฟต้องถูกลงไม่ต่ำกว่าครึ่ง!”

เสียงดังฟังชัด แต่สะเทือนถึงตับไตของทุนพลังงานผูกขาดทั้งปวง ทั้ง กฟผ. ปตท. และบรรดาผู้มีบารมีแฝงที่อิงอาศัยเรือนร่างพลังงานชาติเป็นเครื่องมือหากำไรต่อหัวประชาชน

แต่สิ่งที่น่าตั้งคำถามไม่แพ้กันก็คือ… นี่คือการรื้อระบบเพื่อประชาชน หรือแค่ย้ายสังเวียนให้ทุนใหม่ลงเล่นแทน?

ถือหุ้น…แต่ไม่รู้ตัว?

ยังไม่ทันที่ประชาชนจะลุกขึ้นปรบมือให้เต็มฝ่ามือกับแผนปฏิรูปพลังงาน รัฐมนตรีพลังงานก็ถูกตีแสกหน้าด้วยคำร้องจากนายสนธิญา สวัสดี ที่ยื่นต่อ กกต. ให้ตรวจสอบพฤติกรรมการถือหุ้น และการเป็นกรรมการบริษัท 4 แห่งของพีระพันธุ์ พร้อมหลักฐานลายลึกจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกรมสรรพากรประกอบชัด

ในขณะที่เจ้าตัวยืนยันว่า หุ้นถูกโอนไปยังบริษัทกลางแล้ว และไม่รู้ว่าเขาจะเปลี่ยนชื่อหรือไม่อย่างไร ซึ่งหากดูผิวเผินก็คล้ายกับการจ้างวานฝากเลี้ยงหมา โดยไม่รู้ว่าหมาถูกพาไปปล่อยป่า

แต่ในความเป็นจริง การถือหุ้น และการดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารในบริษัทในขณะเดียวกันกับที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี กลับเป็น “คุณสมบัติต้องห้าม” ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (6) และ 98 (15) โดยเฉพาะเมื่อยังมีคำถามว่า การลาออกจาก ส.ส. ที่มีผลย้อนหลังกว่า 47 วันนั้น จะช่วยล้างผิดได้จริงหรือไม่?

และเมื่อผู้กล่าวหาคือนักกฎหมายมหาชนระดับ ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม ที่ขนพยานเอกสารทั้งจากราชการ ภาษี และบริษัทเอกชนมายัน… ก็ยากที่เสียงอธิบายว่า “ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เกี่ยว” จะพาออกจากมุมมืดแห่งความคลุมเครือ

แจกถุงหรือแจกกรรม?

การแจกของช่วยเหลือชาวบ้านในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ ถูกตั้งคำถามหนักไม่ใช่เพราะ “แจก” แต่เพราะมี สติกเกอร์ชื่อรัฐมนตรี แปะอยู่ในถุงยังชีพ! ฝ่ายรัฐยืนยันว่าไม่รู้เรื่อง ไม่ได้สั่งแปะ ไม่ใช่ผู้ดำเนินการโดยตรง แต่ในโลกของการเมือง ภาพนั้นสำคัญกว่าความจริง

ยิ่งเมื่อคนแจกชื่อพีระพันธุ์… และคนแต่งสติกเกอร์ก็ดูคล้ายจะสวมเสื้อทีมเดียวกัน ก็ยิ่งยากที่สาธารณชนจะมองว่าเป็นเพียง “ความผิดพลาดโดยสุจริต” จากนักกฎหมายระดับอดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา

ปฏิรูปหรือจัดวางกระดานใหม่?

เบื้องหน้าคือการด่าทุนผูกขาด แต่เบื้องหลังกลับปรากฏชื่อ “คนกันเอง” ถูกแต่งตั้งเข้ากรรมการบอร์ด กฟผ. ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงพลังงาน กระทรวงที่พีระพันธุ์เป็นเจ้ากระทรวงโดยตรง

  • พล.ท.เจียรนัย วงศ์สะอาด กรรมการบริษัทเอกชนที่เกี่ยวพันกับพีระพันธุ์ ถูกแต่งตั้งเป็นกรรมการ กฟผ.
  • นายสยาม บางกุลธรรม คนสนิทของพีระพันธุ์ เป็นทั้งกรรมการบริษัท และข้าราชการฝ่ายการเมืองในทำเนียบ
  • นายปรากรมศักดิ์ ชุณหะวัณ ผู้ถือหุ้นบริษัทในเครือเดียวกัน ก็ถูกแต่งตั้งตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี

สิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่แค่บุคคลเหล่านี้ถูกแต่งตั้ง แต่คือบริษัทที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา มีเส้นทางธุรกิจที่เชื่อมโยงกับการผลิตไฟฟ้า พลังงาน และอสังหาริมทรัพย์ บริบทที่พีระพันธุ์กำลังใช้อำนาจกลไกรัฐควบคุม

ค่าไฟจะลดจริง…หรือแค่ค่าภาพลักษณ์ที่ลดลง?

ประชาชนยังรอว่าโครงการ Solar on Grid ที่รัฐมนตรีประกาศจะผลักดัน จะเป็นจริงเมื่อใด และจะลดค่าไฟได้จริงหรือไม่ แต่สิ่งที่เริ่มเห็นได้ชัดคือ…

การไล่โจมตี กกพ. ปตท. และการไฟฟ้าฯ อย่างดุดัน เพื่อปฏิเสธข้อตกลงซื้อพลังงานสะอาดจากกลุ่มทุนในราคาแพง อาจฟังดูถูกใจคนดู แต่หากท้ายที่สุดแล้ว กระทรวงพลังงานกลับกลายเป็นผู้แต่งตั้งเครือข่ายของตนเองเข้าไปแทนที่ สิ่งที่เรียกว่าการ “ปฏิรูป” ก็อาจเป็นแค่ “เปลี่ยนมือทุน” เท่านั้น

นโยบายที่ดูแข็งกร้าว กลับพ่วงมากับคำถามเรื่องจริยธรรม การถือหุ้น ความโปร่งใส และผลประโยชน์ทับซ้อน ที่ยังไม่มีคำอธิบายชัดเจน

ประชาชนไทยไม่ได้อยากเห็นแค่ “ค่าไฟถูกลง” แต่ต้องการ “ธรรมาภิบาล” และ “ความซื่อตรง” จากคนที่มาเป็นเจ้ากระทรวงพลังงาน

เสียงประกาศสงครามกับทุนอาจฟังดูสะใจ แต่ถ้าเบื้องหลังกลับคือการเปิดสนามใหม่ให้เครือข่ายทุนใกล้ตัว… เราอาจไม่ได้กำจัดมาเฟีย แต่แค่ “เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ให้พวกเขาเท่านั้น”

พีระพันธุ์, ถือหุ้น, การไฟฟ้า, ปฏิรูปพลังงาน, จริยธรรมรัฐมนตรี

“กูไม่กลัวมึง ไอ้ J” เมื่อการเมืองปทุมธานีลุกเป็นไฟ ระหว่าง ส.ส.ฟลุ๊ค กับบิ๊กแจ๊ส

ระบบการเงินใหม่โลกกระชากเศรษฐกิจไทย