บางคนโตมากับเครือข่าย บางคนโตมากับอำนาจ
และบางคนโตมาพร้อมกับคำว่า “กลัวไม่ได้”
ในวันที่ประเทศไทยยังคงภาวนาให้การเมืองระดับชาติเปลี่ยนไปในทางที่ดี การเมืองท้องถิ่นกลับกลายเป็นเวทีที่ “ผู้มีอิทธิพล” เข้ามาแฝงตัวอย่างแนบเนียนและแผ่ขยายรากไปไกลกว่าที่ใครคาดคิด
กรณีของ “สจ.กอล์ฟ” หรือ นายสิรดนัย พลายด้วง ไม่ใช่แค่ข่าวอาชญากรรม แต่คือสัญญาณอันตรายของความพยายามปลอมแปลงอิทธิพลให้ดูถูกต้องตามครรลองประชาธิปไตย
จากลูกชายนักการเมืองท้องถิ่น สู่สมาชิก อบจ. เขต 7 จังหวัดสงขลา ในคราบของ “นักการเมืองรุ่นใหม่” ที่คนบางกลุ่มอาจชื่นชมว่าสื่อสารเก่ง เข้าถึงง่าย แต่เบื้องหลัง กลับเต็มไปด้วยอำนาจเถื่อนที่พร้อมจะใช้ “กำลังคน” มากกว่ากำลังเหตุผล
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันเลือกตั้งเทศบาล 11 พฤษภาคมที่ผ่านมา คือฉากจริงของความวิปริตที่ไม่ควรเกิดขึ้นในสังคมประชาธิปไตย เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูแลหน่วยเลือกตั้งถูกกลุ่มชายฉกรรจ์รุมทำร้าย เพียงเพราะห้ามถ่ายภาพภายในเขตเลือกตั้ง ซึ่งผิดกฎหมายเลือกตั้งอย่างชัดเจน
ไม่กี่วันต่อมา ศาลออกหมายจับ สจ.กอล์ฟ และพรรคพวก 6 คนในข้อหาทำร้ายร่างกายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และภายหลังตำรวจยังเพิ่มข้อหา “ซ่องโจร” ตามหลักฐานที่พบเพิ่มเติมในมือถือ
คำถามคือ: เรากำลังสร้างนักการเมือง หรือกำลังให้ใบอนุญาตผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นมาแฝงตัวในโครงสร้างรัฐ?
เพราะนี่ไม่ใช่แค่กรณีเฉพาะตัว แต่เป็นปรากฏการณ์ซ้ำซากในวงจรอุบาทว์ของการเมืองท้องถิ่นในไทย ที่ชื่อเสียงตระกูล อิทธิพลในพื้นที่ และเงินทุนหาเสียง กลายเป็นใบเบิกทางสู่ตำแหน่งที่ควรได้มาด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจของประชาชน
และเมื่อความไว้ใจกลายเป็นอำนาจที่ถูกใช้ผิด เราทุกคนก็คือผู้เสียหายร่วมกัน
เพราะทุกครั้งที่ “คนแบบนี้” ได้รับเลือกตั้ง ทุกครั้งที่เจ้าหน้าที่รัฐถูกทำร้ายโดยผู้มีอิทธิพล
มันคือการเหยียบย่ำกติกาประชาธิปไตยจากราก
ประเทศไทยอาจมีรัฐธรรมนูญ
แต่ถ้าพื้นที่จริงถูกปกครองด้วย “อิทธิพล” แทน “กฎหมาย”
ประชาธิปไตยนั้นก็เป็นได้แค่กระดาษแผ่นหนึ่ง
คำถามจึงไม่ได้อยู่ที่ “สจ.กอล์ฟจะติดคุกหรือไม่”
แต่คือ “เราจะปล่อยให้ระบบแบบนี้ดำรงอยู่ได้นานแค่ไหน?”

ภาพ : รายการเจาะลึกทั่วไทย