การปรับลดค่าไฟฟ้าลงเหลือ 3.98 บาทต่อหน่วย อาจดูเป็นชัยชนะของประชาชนในสมรภูมิค่าครองชีพ แต่ถ้าหยิบแว่นขยายมาส่อง เราจะพบว่าเบื้องหลัง “ชัยชนะ” นี้ มีคำถามที่รัฐบาลและผู้มีอำนาจไม่กล้าตอบเต็มปากว่า “มันยั่งยืนแค่ไหน?”
การลดค่าไฟในรอบนี้ ไม่ใช่เพราะรัฐรีดสมอง รื้อโครงสร้างพลังงาน หรือปฏิรูประบบต้นทุนก๊าซใด ๆ แต่เป็นเพียงการ “ถอนเงินสำรอง” ที่เก็บไว้ในระบบ Claw-back มูลค่า 12,200 ล้านบาท ซึ่ง กกพ.มีอยู่แล้วในมือ และพร้อมจะนำมาใช้ตั้งแต่แรก
จึงไม่แปลกที่ใครหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า รัฐมนตรีพลังงานแค่ “ชุบมือเปิบ” เก็บแต้มทางการเมืองบนกลไกที่ออกแบบไว้ก่อนหน้า เพราะจริง ๆ แล้ว แม้ไม่มีใครนั่งเก้าอี้ รัฐมนตรี กกพ.ก็สามารถขับเคลื่อนกลไกนี้ได้ตามหน้าที่
แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงไม่ใช่แค่เรื่องเครดิต
สิ่งที่ต้องตั้งคำถามคือ “แล้วต่อไปล่ะ?”
– เมื่อเงิน Claw-back หมด
– เมื่อราคาก๊าซขยับ
– เมื่อโครงสร้างค่าไฟยังไม่ได้รับการแตะต้อง
ใครจะรับผิดชอบการดีดกลับของราคาไฟฟ้าในงวดหน้า?
หลายฝ่ายพูดถึง “การปฏิรูปโครงสร้างต้นทุนพลังงาน” แต่จนถึงวันนี้ ยังไม่มีสัญญาณว่าการเจรจากับ ปตท. หรือการเปิดตลาดก๊าซเสรีจะเดินหน้าเป็นรูปธรรม นโยบาย กพช. ที่ประกาศว่า “จะตรึงไฟไม่เกิน 3.99 บาท” ก็เป็นเพียงเส้นขีดที่ไม่มีฐานรองรับ หากไม่มีมาตรการถาวรเข้ามาช่วยหนุน
เราจึงอาจต้องมองภาพนี้ให้ชัดว่า
การลดค่าไฟรอบนี้ เป็นเพียง “การยืมเวลาจากอนาคต”
ใช้เงินที่ประชาชนเคยจ่ายล่วงหน้ามาแล้ว มาคืนให้บางส่วน
แต่โครงสร้างที่ทำให้ค่าไฟ “แพงซ้ำซ้อน” ยังไม่ถูกแตะแม้แต่น้อย
จะเรียกว่า “ชุบมือเปิบ” หรือ “ลดภาระประชาชน”
คงขึ้นอยู่กับว่า คุณมองแค่รอบบิลหน้า หรือกล้าถามถึงระยะยาว
เพราะพลังงานไทย ไม่ควรขึ้นอยู่กับแค่ใครได้เครดิต
แต่ว่าจะมีใคร “กล้าเปลี่ยนทั้งระบบ” จริงหรือไม่ต่างหาก
