ในยุคที่พลังงานแสงอาทิตย์ควรจะเป็นทางออกของคนตัวเล็ก ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ฉบับใหม่ กลับกำลังถูกตั้งคำถามหนักว่าเป็นกฎหมายเพื่อประชาชน หรือเป็น “เครื่องมือบริหารพลังงานแบบรวมศูนย์” ที่เอื้อเฉพาะบางกลุ่ม
ภายใต้ร่างกฎหมายที่ดูเหมือนจะมีเจตนาส่งเสริมพลังงานสะอาด กลับแฝงรายละเอียดที่อาจกลายเป็นภาระสำหรับประชาชน และเปิดช่องให้เจ้ากระทรวงถืออำนาจเบ็ดเสร็จในหลายมิติ ตั้งแต่การอนุญาตติดตั้ง การกำหนดอัตรารับซื้อไฟ ไปจนถึงการกำหนดพื้นที่เชื่อมต่อระบบ
หนึ่งในผู้ส่งเสียงเตือนคือ นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส อดีตนักการเมืองที่ผันตัวมาเป็นผู้ประกอบการธุรกิจโซลาร์รูฟ เขาระบุชัดว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่ได้ช่วยให้คนไทยเข้าถึงแสงแดดฟรีๆ อย่างที่รัฐควรทำ แต่กลับเป็นการสร้าง “กำแพงอำนาจ” ที่ประชาชนต้องปีนผ่านก่อนจะได้ผลิตพลังงานจากบ้านของตนเอง
น่าแปลกใจที่กฎหมายซึ่งควรช่วยประชาชนให้ประหยัดค่าไฟ กลับเพิ่มขั้นตอนราชการจำนวนมาก จนมีเสียงวิจารณ์ว่า อาจเป็นการปูพรมให้เกิดระบบอุปถัมภ์แบบใหม่ ซึ่งไม่ต่างจากการปิดประตูไม่ให้ประชาชนเป็นเจ้าของพลังงานของตัวเองอย่างแท้จริง
ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ การให้อำนาจกว้างขวางแก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน อำนาจในการออกหลักเกณฑ์ทั้งหมด ตั้งแต่การควบคุมสถานที่ติดตั้ง การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบ ไปจนถึงการอนุญาตรื้อถอน ล้วนเป็นดาบสองคมที่หากไม่มีระบบตรวจสอบถ่วงดุล อาจทำให้พลังงานสะอาดกลายเป็นสมบัติของกลุ่มอำนาจไม่กี่คน
การแจ้งล่วงหน้า 30 วันก่อนติดตั้งโซลาร์อาจฟังดูเป็นแค่ขั้นตอนเล็กๆ แต่สำหรับเจ้าของบ้านหรือวิสาหกิจชุมชน นั่นอาจหมายถึงการต้องเดินเข้าออกหน่วยงานซ้ำซาก ยอมรับเงื่อนไขที่อาจไม่จำเป็น และในบางกรณีคือการเผชิญกับความไม่โปร่งใสที่ยากจะปฏิเสธ
คำถามสำคัญคือ ทำไมต้องออกแบบกฎหมายในลักษณะนี้ในช่วงเวลาที่พลังงานสะอาดควรจะเป็นเรื่องของคนทั้งประเทศ? และเหตุใดจึงไม่มีความพยายามกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่น ให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง?
ถ้าพลังงานแสงอาทิตย์คือของขวัญจากธรรมชาติ การออกกฎหมายควรทำให้ประชาชนเข้าถึงง่ายที่สุด ไม่ใช่ตั้งด่านให้ต้องผ่านคำสั่งจากเบื้องบนเพียงไม่กี่คน
ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้อาจไม่ได้ผิดที่ตัวบท แต่ผิดที่เจตนาเบื้องหลัง ถ้าอำนาจถูกออกแบบเพื่อผูกขาดการตัดสินใจไว้กับฝ่ายการเมืองเพียงกลุ่มเดียว โดยไม่เปิดพื้นที่ให้เสียงของประชาชนร่วมถ่วงดุล นี่จะไม่ใช่การส่งเสริมพลังงานสะอาด แต่คือการ “สกัดพลังงานเพื่อประชาชน”
และในเมื่อประชาชนถูกกันออกจากกระบวนการตั้งแต่ต้นทาง คำถามที่รัฐควรตอบให้ได้ในวันนี้คือ—
พลังงานสะอาดกำลังถูกแปรรูปเพื่อใครกันแน่?
