เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา เกิดเหตุเฮลิคอปเตอร์ตำรวจตกในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นอีกหนึ่งโศกนาฏกรรมที่คร่าชีวิตเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่บนฟ้า เหตุการณ์นี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ออกคำสั่งด่วนให้กองบินตำรวจเร่งสำรวจสถานะของอากาศยานทุกลำ เพื่อจัดลำดับการซ่อมบำรุงและพิจารณาจัดหาเครื่องบินใหม่อย่างเป็นระบบ
คำถามคือ ต้องรอให้มีผู้เสียชีวิตก่อนใช่หรือไม่ ถึงจะเริ่มนึกถึงความปลอดภัยของผู้ที่ขึ้นบิน?
มีรายงานว่า เครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์ของกองบินตำรวจหลายลำมีอายุการใช้งานนานกว่า 20 ปี บางลำอยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์หรือขาดการบำรุงรักษาที่เพียงพอ การใช้อากาศยานเก่าเหล่านี้ทำให้เจ้าหน้าที่ที่ต้องบินปฏิบัติภารกิจในแต่ละครั้งเสี่ยงอันตรายมากขึ้นเรื่อย ๆ
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยันว่าจะเร่งสำรวจสถานะเครื่องบินตำรวจทุกลำ ทั้งลำที่ยังใช้งานได้ อยู่ระหว่างซ่อมบำรุง หรือรอพิจารณาปลดประจำการ รวมถึงสั่งระงับภารกิจบินชั่วคราว เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของเจ้าหน้าที่
แม้นายกรัฐมนตรีจะกล่าวเน้นย้ำว่า “ชีวิตและสวัสดิภาพของเจ้าหน้าที่ตำรวจ คือสิ่งที่รัฐบาลต้องใส่ใจ” แต่ประเด็นสำคัญยังอยู่ที่ งบประมาณในการซ่อมแซมหรือจัดซื้ออากาศยานใหม่มีเพียงพอหรือไม่? และที่สำคัญกว่านั้นคือ มีการจัดสรรและตรวจสอบอย่างโปร่งใสหรือเปล่า?
ที่ผ่านมา มีคำถามถึงการบริหารจัดการงบประมาณของกองบินตำรวจมาโดยตลอด ขณะที่ตำรวจภาคสนามยังต้องใช้อากาศยานเก่าจนแทบกลายเป็น “พิพิธภัณฑ์บินได้” บางลำถูกใช้งานมาตั้งแต่ปลายยุค 2530 แต่ยังคงบินขึ้นฟ้าในภารกิจช่วยเหลือ ประชุม ตรวจราชการ หรือแม้กระทั่งภารกิจความมั่นคง
คำสั่งครั้งนี้จึงสะท้อนปัญหาลึกของระบบราชการที่มักเคลื่อนไหวก็ต่อเมื่อเกิดเหตุร้ายแรง พร้อมคำแถลงแสดงความเสียใจ แล้วจากนั้นก็เงียบหายไปพร้อมกับศพ
เราจึงไม่ควรให้เหตุการณ์นี้เป็นเพียงอีกหนึ่งข่าวหน้าหนึ่งในวันนี้ แล้วเลือนหายพรุ่งนี้ แต่ต้องใช้โศกนาฏกรรมครั้งนี้เป็นโอกาสในการทบทวนโครงสร้างทั้งหมด เพื่อให้ “ชีวิตเจ้าหน้าที่ตำรวจ” มีความปลอดภัยและศักดิ์ศรีเท่ากับภารกิจที่พวกเขาแบกรับไว้
