เวทีอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2569 ที่หลายคนคาดว่าจะเป็น “ช่วงเวลาประสานเสียง” ของพรรคร่วมรัฐบาล กลับกลายเป็น “เวทีปล่อยของ” ของพรรคภูมิใจไทย ที่ส่งเสียงแหลมคมจนทำให้บรรยากาศภายในสภาฯ สะท้อนสัญญาณร้าวที่ยากจะมองข้าม
จุดเปลี่ยนของค่ำคืนนั้น เริ่มจากจังหวะที่ นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย ลุกขึ้นอภิปราย ด้วยโทนเสียงหนักแน่นต่อหน้า ส.ส. พรรคเพื่อไทย พรรคแกนนำรัฐบาล โดยเจาะตรงไปที่นโยบาย “แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท” อันเป็นหัวใจหลักทางเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้
“เมื่อก่อนผมไม่เห็นด้วยครับ…แต่ตอนนี้ผมเห็นด้วย ต้องแจกครับ! ถ้าไม่มีปัญญาทำ ให้คนอื่นขึ้นมาทำแทนได้”
คำพูดนี้แม้ห่อหุ้มด้วยมุกเสียดสี แต่เนื้อแท้คือ แรงกดดันต่อรัฐบาล ว่าหากยังไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบายนี้ให้สำเร็จได้ทันเวลา อาจมีคนพร้อมขึ้นมา “เปลี่ยนตัว” ในเกมอำนาจ
ไม่จบเพียงเท่านั้น ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น เมื่อ นายไชยชนก ชิดชอบ ส.ส.บุรีรัมย์ ทายาทโดยสายเลือดของ เนวิน ชิดชอบ ลุกขึ้นกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงสะท้อนความภาคภูมิใจในบทบาทของพรรคภูมิใจไทย และทิ้งท้ายด้วยคำถามที่เจาะตรงใจ:
“วันนี้พวกเราทำแล้ว…พวกท่านทำแล้วหรือยังครับ?”
ข้อความนี้แม้ฟังเผินๆ คล้ายถ้อยคำกระตุ้น แต่ในเชิงการเมืองกลับเป็น การท้าทายตรงไปยังพรรคเพื่อไทย ที่แม้เป็นแกนนำรัฐบาล แต่กลับถูกกระแซะด้วยคำถามเรื่อง ประสิทธิภาพและผลงาน
เมื่อพิจารณาโดยภาพรวม ทั้งสองสุนทรพจน์จาก ส.ส. พรรคภูมิใจไทย ในค่ำคืนนั้น ไม่ได้เป็นเพียงการ “อภิปรายงบประมาณ” ธรรมดา แต่สะท้อน ความอึดอัดที่กำลังก่อตัวในพรรคร่วมรัฐบาล
พรรคภูมิใจไทยในฐานะพรรคร่วมที่มีบทบาทในรัฐบาลนี้ ส่งสัญญาณชัดเจนว่าพวกเขา ไม่ยอมเป็นเพียง “ตัวประกอบ” ที่คอยโหวตตามมติพรรคแกนนำอีกต่อไป และพร้อมจะ “ส่งเสียง” เมื่อเห็นว่านโยบายที่ถูกผลักดันไม่มีความคืบหน้า หรืออาจส่งผลต่อความนิยมของพรรคตนเองในระยะยาว
“บรรยากาศล้มโต๊ะ” จึงไม่ใช่เพียงวาทกรรมในวงการสื่ออีกต่อไป แต่กำลังเป็น ความเป็นจริงที่แทรกซึมในห้องประชุมสภาฯ ที่อาจบานปลายสู่การ “จัดสมดุลใหม่” ของพรรคร่วมรัฐบาลในช่วงเวลาต่อจากนี้
คำถามสำคัญคือ…
พรรคเพื่อไทยจะรับมือกับแรงกระเพื่อมนี้อย่างไร?
และที่สำคัญกว่า… รัฐบาลจะยังรักษาเสถียรภาพได้อีกนานแค่ไหน ท่ามกลางแรงเสียดทานภายในที่เริ่มปะทุให้เห็นบนเวทีสภาฯ แล้ว?



