พรมแดนคือเส้นสมมติบนแผนที่ ที่เมื่อใดผู้มีอำนาจอยากให้เป็นเพียงภาพจางในหมอกการเมือง มันก็จางได้ในพริบตา
วันนี้ เสียงกลองรบที่พรมแดนไทยกัมพูชาอาจยังไม่ดังถึงหูประชาชนทั่วไป แต่สำหรับผู้ติดตามความเคลื่อนไหวระหว่างสองประเทศ เสียงนั้นเริ่มสะท้อนมาเป็นระลอก
สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เปิดกระดานหมากรุกใหม่ผ่านมติ 182 เสียงจากสภาแห่งชาติและวุฒิสภากัมพูชา นำข้อพิพาทชายแดน โดยเฉพาะพื้นที่เปราะบางอย่างปราสาทตาเมือนธม ยื่นสู่เวทีศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
ไม่เพียงเท่านั้น น้ำเสียงจากผู้นำกัมพูชาก็ชัดเจน หากไทยไม่ร่วมมือในการแก้ไขปัญหาผ่านศาลโลก จะถือว่ามีวาระซ่อนเร้น คำนี้ในทางการทูตแหลมคมยิ่ง
แต่สิ่งที่ประชาชนเริ่มรับรู้ชัดเจนกว่าคำพูดคือสถานการณ์ปิดด่าน
หลายด่านพรมแดนที่เคยเปิดรับนักท่องเที่ยวและการค้าชายแดนอย่างคึกคัก เริ่มมีการปิดไม่เป็นทางการหรือจำกัดการผ่านเข้าออกอย่างไม่ประกาศเป็นทางการ บรรยากาศบนพื้นที่ชายแดนเริ่มเปลี่ยน ราวกับบทหนึ่งของสงครามเย็นรูปแบบใหม่กำลังก่อตัว
เสียงสะท้อนจากสังคมไทยก็เริ่มแรงขึ้น หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล หรือหม่อมปลื้ม ออกมาเรียกร้องว่า “รัฐบาลไทยควรหยุดการเจรจากับกัมพูชา และดำเนินมาตรการคว่ำบาตรรัฐบาลฮุน มาเนต และสมเด็จฮุน เซนทันที”
คำถามจึงเริ่มดังขึ้นในหมู่ประชาชน ว่าเหตุใดรัฐบาลไทยจึงปล่อยให้เกมนี้เดินมาถึงจุดที่ชายแดนซึ่งเคยคึกคัก กลับกลายเป็นด่านปิดโดยพฤตินัยในหลายพื้นที่
บางคนบอกว่าไทยไม่ควรไปกระตุกเสือหลับ แต่ในเกมระหว่างรัฐชาติ เสืออาจไม่ได้หลับ และเส้นแบ่งพรมแดนก็คือตัวชี้วัดศักดิ์ศรีของรัฐนั้น
ในเมื่ออีกฝ่ายเดินเกมเชิงรุกอย่างเปิดเผย ไทยจะนิ่งเฉยได้นานแค่ไหน เมื่อผลกระทบเริ่มมาถึงประชาชนในพื้นที่ชายแดน
คำถามนี้ยังคงค้างคาในใจหลายคน และอาจถึงเวลาแล้ว ที่ไทยจะต้องลุกขึ้นวางหมากของตัวเอง ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
