เมื่อ “เสือในพรรค” เริ่มคำรามใส่กันเอง แผ่นหลังที่เคยพิง กลับกลายเป็นเป้าของมีด ใครจะไปคิดว่าวันหนึ่งคนชื่อ “เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” จะถูก “สุชาติ ชมกลิ่น” อดีตเสาหลักของพรรคเดียวกัน ออกมาแฉฉีกกลางอากาศ ว่าครั้งหนึ่งเคยชักชวน “เพื่อน ส.ส.” ให้จับมือกัน “ถีบหัวหน้าพรรค” ลงจากเก้าอี้
ถ้ามวยการเมืองมีเรตติ้งเหมือนมวยไทยช่อง 7 สี อาทิตย์นี้คงได้สีแดงกับสีน้ำเงินเปื้อนเลือดแน่ ๆ เพราะว่าชกกันแรง ไม่มีการถอดนวม มีแต่การงัดเบื้องหลังและความไว้ใจมาเป็นหมัดฮุกเข้าหน้า
สุชาติเปิดเกมก่อน ประกาศว่า เอกนัฏเคยติดต่อมาเพื่อ “โค่นพีระพันธุ์” ซึ่งก่อนหน้านี้ภาพลักษณ์ของสองคนนี้ก็ดูสนิทชิดเชื้อกันดี แต่จู่ ๆ สุชาติก็ออกมาบอกว่า “ผมไม่ได้รับสาย เพราะไม่รู้จะไว้ใจใครได้อีก”
นี่ไม่ใช่แค่คำปฏิเสธ แต่เป็นหมัดสวนกลับด้วยแววตาระแวง ที่ชัดเจนว่าเขาไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป
ที่เด็ดไปกว่านั้นคือคำพูดที่เสียดแทงหัวใจนักยุทธศาสตร์ทุกคน “ทีมสุดซอยและทีมตามเก็บ ถ้าฟังแล้วดูหล่อ…แต่ความจริงจะเปิดเผยอีกไม่นาน” ประโยคนี้ไม่ต่างจากการประกาศสงครามในเวอร์ชันบ้านเมือง ที่มีทั้งสายลับ ฝ่ายข่าว และแนวร่วมซุ่มอยู่ข้างสนาม
เรื่องนี้ไม่จบง่าย เพราะมันคือสัญญาณว่าภายในพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่ได้มีแค่พายุที่พัดมาจากฝ่ายค้าน แต่มีลมพัดสวนจากคนกันเองที่ยังไม่รู้ว่ากี่องศา และจะแรงพอที่จะล้มใครได้บ้าง
“เมื่อมิตรเริ่มกลายเป็นมีดที่ซ่อนอยู่ใต้สูท คำว่าความไว้ใจมันก็กลายเป็นของหายากพอ ๆ กับความจริงในวงการเมือง”
เราจะได้เห็นอะไรต่อจากนี้?
- เอกนัฏจะออกมาโต้หรือจะนิ่ง?
- พีระพันธุ์จะยังนั่งเก้าอี้นิ่ง หรือเริ่มรู้ตัวว่ากำลังถูกล้อม?
- และสุชาติจะมีไม้เด็ดอะไรอีกที่ยังไม่ได้โชว์?
นี่คือการเปิดฉากศึก “ปราบขุนพลในพรรค ก่อนจะลุยศึกข้างนอก”
และใครที่เคยคิดว่าพรรคนี้แน่นปึ้ก คงต้องกลับไปทบทวนใหม่ เพราะคำว่า “รวมไทย” อาจยังไม่รวมใจ…อย่างที่คิด
