16 กรกฎาคม 2568 นาย พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ไม่เข้ารับทราบกรณีที่ถูกกล่าวหาว่านำถุงยังชีพติดสติกเกอร์ชื่อและภาพแจกในพื้นที่น้ำท่วมตามหมายเรียกของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทำให้กระบวนการแจ้งข้อกล่าวหาต้องเปลี่ยนเป็นการส่งไปรษณีย์ลงทะเบียนแทน พร้อมให้เวลา 15 วันในการชี้แจง หากเพิกเฉย ป.ป.ช.จะดำเนินการสรุปสำนวนเสนอเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมชุดใหญ่ทันที
ป.ป.ช. ใช้สิทธิแจ้งข้อกล่าวหาทางไปรษณีย์
การไม่มาตามหมายเรียกครั้งล่าสุดในวันที่ 16 กรกฎาคม ถือเป็นครั้งที่ 3 ที่ นาย พีระพันธุ์ ไม่เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการแจกถุงยังชีพติดสติกเกอร์ชื่อ-ภาพของตนเอง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ป.ป.ช. ได้เลื่อนนัดและเตรียมการทางเอกสารอย่างครบถ้วนเพื่อให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม
คณะกรรมการไต่สวนจึงมีมติให้แจ้งข้อกล่าวหาโดยการส่งไปรษณีย์ลงทะเบียนไปยังสถานที่ 4 แห่ง ได้แก่ บ้านพักส่วนตัว, ทำเนียบรัฐบาล, กระทรวงพลังงาน และที่ทำการพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยเริ่มนับเวลาชี้แจง 15 วันทันทีที่หนังสือส่งถึงมือ หากไม่ดำเนินการใด ๆ จะถือว่าสละสิทธิ์ชี้แจง

ชี้แจงไม่ได้ อาจถูกเสนอฟ้องทันที
ตามกระบวนการของ ป.ป.ช. หากผู้ถูกกล่าวหาไม่ให้ถ้อยคำหรือหลักฐานชี้แจงภายในเวลาที่กำหนด คณะกรรมการสามารถสรุปสำนวนได้เลยโดยไม่ต้องรอฟังคำชี้แจงอีก ซึ่งกรณีนี้อาจกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ว่าการหลีกเลี่ยงกระบวนการไต่สวนมีผลลัพธ์ที่ชัดเจนในทางกฎหมายและการเมือง
ทั้งนี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่า พีระพันธุ์อาจพยายามใช้ช่องว่างทางกระบวนการเพื่อยืดคดี แต่ ป.ป.ช. ยืนยันว่าขั้นตอนที่ดำเนินการอยู่เป็นไปตามระเบียบและกฎหมายทุกประการ โดยแต่งตั้ง นายประภาศ คงเอียด กรรมการ ป.ป.ช. เพิ่มเติมร่วมคณะไต่สวน เพื่อให้ความเป็นธรรมและโปร่งใสสูงสุด
ครั้งก่อนก็ไม่มา อ้างติดภารกิจต่างประเทศ
พฤติการณ์ที่นาย พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ไม่เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาในนัดล่าสุด สะท้อนแนวโน้มเดียวกับครั้งก่อนหน้านี้ ที่เจ้าตัวเคยระบุว่าติดภารกิจเดินทางไปต่างประเทศและไม่สามารถมาพบคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ตามกำหนด ทั้งที่มีการออกหนังสือเชิญอย่างเป็นทางการมาแล้วหลายครั้ง ส่งผลให้ฝ่ายไต่สวนต้องปรับวิธีแจ้งข้อกล่าวหาในรูปแบบที่รัดกุมมากขึ้น เพื่อไม่ให้กระบวนการล่าช้าอีกต่อไป
การไม่เข้ารับทราบข้อกล่าวหาต่อเนื่อง แม้จะมีเหตุผลอ้างว่าไม่สะดวกหรือติดภารกิจ แต่อาจส่งผลกระทบต่อ ภาพลักษณ์ทางการเมืองของนายพีระพันธุ์ และรัฐบาลโดยรวม โดยเฉพาะในช่วงที่สังคมไทยให้ความสำคัญกับความโปร่งใสและธรรมาภิบาล ฝ่ายการเมืองอาจใช้กรณีนี้โจมตีเรื่องการพยายามหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ ซึ่งอาจกลายเป็นแรงกดดันภายในพรรคร่วมรัฐบาล หากคดีนี้ไม่สามารถชี้แจงได้อย่างโปร่งใส