วันที่ 17 กรกฎาคม 2568 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขึ้นเวทีในงาน “ปลดล็อคอนาคตประเทศไทยสู้วิกฤตโลก” (Unlock Thailand’s Future) ท่ามกลางสายตาสาธารณชน แวดวงธุรกิจ และการเมือง ภายใต้บรรยากาศเข้มข้นทั้งเนื้อหาและนัยทางการเมือง โดยการปรากฏตัวครั้งนี้ถูกจับตาเป็นพิเศษในฐานะการเคลื่อนไหวสาธารณะที่อาจมีผลสะเทือนต่อพรรคเพื่อไทย และทิศทางนโยบายของรัฐบาลในอนาคต
ซัดผู้นำกัมพูชา “ไร้จริยธรรม”
ช่วงหนึ่งของเวที ทักษิณ กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นกับกัมพูชา ผมก็แปลกใจผู้นำเขมรมันไร้จริยธรรมจะตาย แต่เรากลับไปเข้าข้างมัน ผมก็งงว่าวันนี้ทำไมคนไทยไม่รักกัน” พร้อมระบุว่าไทยต้องไม่ยอมให้ใครมา “ปล้นอนาคตของลูกหลาน” แม้จะไม่มีการเอ่ยชื่อชัดเจน แต่สื่อทั้งในและต่างประเทศวิเคราะห์ว่าคำพูดนี้พุ่งตรงไปยังสมเด็จฮุน เซน ผู้นำกัมพูชา
การกล่าวเช่นนี้ไม่เพียงสร้างแรงกระเพื่อมทางการทูต แต่ยังถูกมองว่าเป็นการยืนยันจุดยืนทางการเมืองของ ทักษิณ และพรรคเพื่อไทย ในช่วงเวลาที่ศรัทธาของประชาชนเริ่มสั่นคลอน
ThaiWORKS โมเดลเศรษฐกิจชุมชนใหม่ – เชื่อมไทยกับโลก
ในส่วนของนโยบายเศรษฐกิจ ทักษิณ เปิดตัวแนวคิด “ThaiWORKS” ที่ต่อยอดจาก OTOP โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเชื่อมโยงสินค้าท้องถิ่นเข้ากับตลาดโลก เน้นการใช้ Soft Power และระบบนิเวศเศรษฐกิจใหม่เพื่อยกระดับรายได้ฐานรากให้เติบโตอย่างยั่งยืน
เขากล่าวว่า ไทยต้องไม่ย่ำอยู่กับที่ แต่ควร “ปลดล็อกศักยภาพในทุกตำบล” เพื่อให้ชุมชนไทยกลายเป็นผู้ผลิตระดับโลก ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดพัฒนาเศรษฐกิจแบบ Decentralized
ชี้การเมืองไทยยังย่ำอยู่กับที่
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ ทักษิณ เน้นย้ำคือสถานการณ์การเมืองไทยที่ยังคง “ย่ำอยู่กับที่” โดยชี้ว่าความขัดแย้งและความแตกแยกทางการเมืองเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการพัฒนาประเทศ โดยเปรียบเทียบกับสมัยรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่การเมืองไร้เสถียรภาพจนบ้านเมืองไม่พัฒนา
เขาเตือนว่าหากสังคมยังคงถูกแบ่งขั้ว และการเมืองยังมีแต่การแย่งชิงอำนาจโดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชน ไทยอาจเผชิญกับภาวะ “ทางตัน” ซึ่งส่งผลเสียทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม
พร้อมทั้งเรียกร้องให้ทุกฝ่ายลดความขัดแย้ง หันมาร่วมมือกันด้วยวิสัยทัศน์ที่ยาวไกล เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับประเทศและคนรุ่นต่อไป

มองจีนเป็นตลาดหลัก ชูศักยภาพท่องเที่ยวไทย พร้อมขยายเมืองชายฝั่ง
ทักษิณ ยังหยิบยกประเด็นสำคัญด้าน การท่องเที่ยว โดยกล่าวถึง นักท่องเที่ยวจีน ว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ไทยไม่ควรมองข้าม พร้อมเสนอว่า ไทยควรลงทุนในระบบขนส่งและความปลอดภัยมากกว่างบประชาสัมพันธ์
เขาระบุว่า “เราต้องทำให้คนจีนรู้สึกปลอดภัยและอยากกลับมาไทยซ้ำ” พร้อมเสนอให้ใช้ระบบ แพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อสร้างประสบการณ์ที่เป็นมิตร เช่น ระบบการจองที่พัก-ร้านอาหารด้วย WeChat, Alipay หรือแพลตฟอร์มจีนโดยตรง
ขณะเดียวกัน ทักษิณ ได้กล่าวถึงแนวคิด “พัฒนาเมืองใหม่ริมทะเล” โดยชี้ว่า หากบริหารจัดการอย่างยั่งยืน การถมทะเลเพื่อสร้างเมืองใหม่ อาจเป็นหนึ่งในแนวทางขยายศักยภาพเชิงพื้นที่ของไทย โดยเฉพาะใน เขตชายฝั่งตะวันออก หรือพื้นที่เป้าหมายของ EEC ซึ่งสามารถออกแบบเป็น “เมืองอัจฉริยะเพื่อการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ” รองรับทั้งนักลงทุนและชาวต่างชาติ
อย่างไรก็ตาม เขาเน้นย้ำว่า การพัฒนาในลักษณะนี้ต้อง “โปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด” พร้อมเสนอให้รัฐเปิดเวทีฟังเสียงประชาชนควบคู่กับนักวิชาการ ก่อนจะเดินหน้าโครงการขนาดใหญ่
เชื่อมคริปโตกับอนาคตไทย
อีกประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างแฝงเร้นในวิสัยทัศน์ คือการกล่าวถึง “เทคโนโลยีการเงินใหม่” และ “เศรษฐกิจแบบกระจายศูนย์” โดยไม่ใช้คำว่า คริปโตเคอร์เรนซี อย่างตรงไปตรงมา แต่หลายช่วงของการพูดมีการย้ำถึง “อีโคซิสเต็มแบบเปิด” และ “ระบบสร้างมูลค่าโดยไม่ต้องพึ่งทุนใหญ่”
นักวิเคราะห์บางรายมองว่า ทักษิณ อาจส่งสัญญาณว่า ไทยควรเปิดรับ Web3, Blockchain และระบบโทเคนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนและผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ซึ่งอาจเป็นแนวทางใหม่ของพรรคเพื่อไทยในการขยายฐานเสียงในอนาคต