วันนี้ (29 ส.ค. 2568) ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยสำคัญ กรณีคลิปเสียงการสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับ สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยมีมติให้แพทองธารพ้นตำแหน่งทันที เนื่องจากเข้าข่ายขาดคุณสมบัติและมีพฤติกรรมผิดจริยธรรมร้ายแรง ส่งผลให้คณะรัฐมนตรีทั้งชุดพ้นตำแหน่ง ตามไปด้วย การตัดสินดังกล่าวสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อการเมืองไทยและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยพฤติกรรมเข้าข่ายผิดจริยธรรมร้ายแรง

ศาลรัฐธรรมนูญระบุว่า แม้จะไม่มีหลักฐานที่ชี้ชัดถึงการทุจริตโดยตรง แต่เนื้อหาการสนทนาในคลิปเสียงเกี่ยวพันกับ ความมั่นคงของชาติ ซึ่งถือเป็นหน้าที่โดยตรงของนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 ถ้อยคำที่ว่า “แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงข้าม” และ “อยากได้อะไรก็บอกมาเลยค่ะ” ถูกตีความว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงกิจการภายใน และสะท้อนถึงความเสี่ยงต่อ อธิปไตยของประเทศ

ศาลเห็นว่าพฤติกรรมดังกล่าวไม่ได้เกิดจากการทำหน้าที่ในเชิงนโยบายปกติ แต่เป็นการดำเนินการที่มีลักษณะเอื้อประโยชน์ทางการเมืองและผลประโยชน์ของกัมพูชาโดยตรง ซึ่งเข้าข่ายละเมิดจริยธรรมร้ายแรงและไม่สอดคล้องกับหลักการพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของชาติ

ประเด็นการปกปิดข้อมูลและข้อกังวลด้านความมั่นคง

คำวินิจฉัยยังระบุถึงการที่นายกรัฐมนตรีเรียกประชุมฝ่ายความมั่นคงชุดเล็กเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน แต่กลับไม่เปิดเผยข้อเท็จจริงเรื่องการเจรจากับกัมพูชา ส่งผลให้ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และหน่วยงานความมั่นคงอื่น ๆ ทราบข้อมูลในภายหลัง ข้อนี้ยิ่งตอกย้ำถึงความไม่รอบคอบและการไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรฐานที่รัฐธรรมนูญกำหนด

การปกปิดข้อมูลดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการบิดเบือนหรือปกป้องประโยชน์ทางการเมือง มากกว่าการทำงานเพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศ และกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การพ้นตำแหน่งในที่สุด

ผลสะเทือนต่อการเมืองไทยและรัฐบาลชุดปัจจุบัน

การตัดสินครั้งนี้ส่งผลโดยตรงให้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดลงทันที พร้อมกับการสิ้นสุดวาระของ คณะรัฐมนตรีทั้งชุด ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ เหตุการณ์นี้สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ในแวดวงการเมืองไทย ขณะที่หลายฝ่ายกำลังจับตาว่า ใครจะก้าวขึ้นมาทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรี และแนวโน้มการจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะเป็นไปในทิศทางใ