พรรคประชาชน-ภูมิใจไทย กับการปูทางสู่ รัฐบาลเสียงข้างน้อย

การเมืองไทย กำลังเข้าสู่จุดหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ เมื่อเกิดการถกเถียงถึงความเป็นไปได้ในการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย โดยมี พรรคภูมิใจไทย เป็นผู้นำรัฐบาล และ พรรคประชาชน ซึ่งมีเสียงในสภาอยู่ราว 145 เสียง ร่วมกับพรรคพันธมิตรอย่าง พรรคเป็นธรรม ที่หากรวมกันแล้วจะมีประมาณ 289 เสียง แต่จากจุดยืนของพรรคประชาชนที่ยืนยันจะไม่ร่วมรัฐบาล จึงเป็นที่จับตามองว่า ทางเลือกนี้จะเดินต่อไปอย่างไร และสิ่งที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือ “ความไว้วางใจ” ที่จะกำหนดทิศทางความร่วมมือระหว่างพรรคการเมืองต่างๆ

รัฐบาลเสียงข้างน้อย : ตัวเลือกที่เลี่ยงไม่พ้น

การรวมเสียงระหว่าง พรรคภูมิใจไทย, พรรคประชาชน และ พรรคเป็นธรรม แม้จะได้เสียงรวมใกล้ 289 เสียง ซึ่งเพียงพอต่อการโหวตเลือกนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ทำให้การเป็น “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” กลายเป็นความเป็นไปได้สูงที่สุด

ในกรณีนี้ พรรคประชาชนซึ่งมีฐานเสียงสำคัญ 144-145 เสียง ทำให้แม้จะไม่ได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล แต่ก็เป็นพรรคที่มีอำนาจต่อรองสูง สามารถกำหนดทิศทางนโยบายและการทำงานของรัฐบาลได้ แต่ความท้าทายคือ การจะบริหารประเทศในฐานะรัฐบาลเสียงข้างน้อยนั้นเต็มไปด้วยความเสี่ยง ทั้งการถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้นและโอกาสที่จะไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายสำคัญในสภาได้

เข้ากันไม่ได้ แต่ร่วมมือกันได้

อีกปัจจัยที่ไม่อาจมองข้ามคือ ความแตกต่างระหว่าง พรรคเพื่อไทย และ พรรคภูมิใจไทย ในสายตาของพรรคประชาชน มีการประเมินว่า พรรคเพื่อไทยแม้จะมีพลังทางการเมือง แต่ก็แสดงบทบาทที่ทำให้เกิดความลังเลว่าจะสามารถไว้วางใจได้หรือไม่

ตรงกันข้าม พรรคภูมิใจไทยมีท่าทีที่นิ่งกว่า และไม่แสดงความเคลื่อนไหวหวือหวานัก ทำให้ภาพลักษณ์ในมุมของพรรคประชาชนดูน่าเชื่อถือมากกว่าในบางมิติ ความแตกต่างนี้จึงเป็นจุดชี้วัดสำคัญว่า หากต้องเลือกขั้วการเมืองเพื่อที่จะจัดตั้งรัฐบาลในระยะสั้นที่จะนำไปสู่การยุบสภา พรรคประชาชนจะฝากความไว้วางใจไว้ที่ฝ่ายใด

ความไว้วางใจ หัวใจของเกมการเมือง

นักการเมืองจำนวนมากย้ำตรงกันว่า ปัจจัยที่ชี้เป็นชี้ตายของรัฐบาลเสียงข้างน้อยไม่ใช่แค่จำนวนเสียง แต่คือ ความเชื่อใจ (Trust) และ สัจจะ (Truth) การเมืองเปรียบเสมือนการฝากเงินกับธนาคาร ที่ทุกฝ่ายต้องมั่นใจว่าจะสามารถถอนกลับคืนได้ตามสัญญา หากไม่มีสองสิ่งนี้ ไม่ว่ามีเสียงมากเพียงใดก็ไม่สามารถยืนระยะได้

สำหรับพรรคประชาชน ความเชื่อใจกลายเป็นโจทย์ใหญ่ที่สุด ว่าจะยอมให้ใครเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และจะมั่นใจได้มากน้อยเพียงใดว่า ข้อตกลงและแนวทางการทำงานจะถูกยึดมั่นตามที่ตกลงไว้ และเมื่อดูจากการที่พรรคประชาชนมักใช้คำว่า “ตระบัติสัตย์” ในเกือบทุกครั้งที่มีการกล่าวถึงพรรคเพื่อไทยก็แสดงให้เห็นถึงมุมมองที่ค่อนข้างชัดเจนของการเลือกในครั้งนี้

โอกาสย้ายขั้ว หากเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลต่อ

อีกประเด็นที่นักวิเคราะห์ทางการเมืองหยิบยกขึ้นมา คือความกังวลว่าหาก พรรคเพื่อไทย ได้โอกาสจัดตั้งรัฐบาล จะมีความเป็นไปได้สูงที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคอื่น อาจจะทยอยย้ายขั้วเข้ามาร่วมรัฐบาล ซึ่งถือเป็นกลไกปกติของการเมืองไทย

หากเกิดสถานการณ์เช่นนั้นจริง รัฐบาลเพื่อไทยอาจมีเสียงเพิ่มจากเดิมเกือบ 200 เสียง จนกลายเป็นรัฐบาลที่มีเสียงแข็งแกร่งขึ้นอย่างชัดเจน แต่ความแข็งแกร่งดังกล่าวก็มาพร้อมกับความเสี่ยง เพราะยิ่งมีพรรคเข้าร่วมมาก การควบคุมหรือกำกับทิศทางรัฐบาลก็ยิ่งซับซ้อนและยากขึ้นตามไปด้วย

รถคันนี้ที่ “สีจิ้นผิง” เลือก! เปิดที่มารถหรู ที่ถูกใช้ในงานใหญ่ระดับโลก

รฟท. เลื่อนเข้าร้องทุกข์ ดีเอสไอ ปมครอบครองเขากระโดง แบบไม่มีกำหนด