วันที่ 4 กันยายน 2568 ที่รัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ยืนยันชัดเจนว่าจะไม่มีการเปิดให้ ฟรีโหวต ในการลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรี พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่า สส.ในพรรคทุกคนจะปฏิบัติตามมติที่คณะกรรมการบริหารพรรคกำหนดไว้ โดยมีทิศทางสนับสนุน นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศ ท่ามกลางกระแสข่าวและความเคลื่อนไหวจากหลายพรรคที่พยายามเปลี่ยนทิศทางเกมการเมืองในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการโหวต
พรรคประชาชนยืนยันเสียงเอกภาพ
นายณัฐพงษ์ ย้ำว่าภายในพรรคประชาชนไม่มีความเห็นแตกแยกในประเด็นการโหวตนายกรัฐมนตรี และยืนยันตามที่แถลงมาก่อนหน้านี้ว่า พรรคเพื่อไทยได้เสนอชื่อ นายชัยเกษม นิติสิริ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แต่ที่ประชาชนคาดหวังความชัดเจนจาก นายภูมิธรรม เวชชัย รักษาการนายกรัฐมนตรี ก็ไม่ได้มีท่าทีเดินหน้าสู่การยุบสภา ทำให้มติของพรรคประชาชนปิดประตูการพิจารณาในแนวนั้น
หัวหน้าพรรคประชาชนย้ำว่า ทุกกระบวนการตัดสินใจได้สิ้นสุดตั้งแต่คณะกรรมการบริหารพรรคประกาศจุดยืนและลงนามข้อตกลงร่วมกับพรรคภูมิใจไทยแล้ว พร้อมยืนยันว่า สส.ทุกคนในพรรคพร้อมเคารพมติพรรคอย่างเคร่งครัด

ปฏิเสธกระแสข่าวเลื่อนโหวต
ต่อกระแสข่าวที่ว่ามีความพยายามประสานเพื่อเลื่อนการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี นายณัฐพงษ์ ระบุชัดว่าไม่เป็นความจริง และได้รายงานต่อประธานรัฐสภาโดยตรงแล้วว่า พรรคประชาชนไม่เคยประสานขอเลื่อนการพิจารณาแต่อย่างใด ทั้งนี้ยอมรับว่ามีกระแสข่าวถูกปล่อยออกมาตลอดทั้งวัน แต่ย้ำว่าเป็นการเคลื่อนไหวเชิงการเมืองเพื่อสร้างความสับสนมากกว่า
จุดยืนฝ่ายค้านกับบทบาทรัฐบาลเฉพาะกิจ
เมื่อถูกถามถึงความกังวลว่า หากฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาชนโหวตสนับสนุนนายกรัฐมนตรี จะต้องร่วมรับผิดชอบกับการทำงานของรัฐบาลที่อาจผิดพลาด นายณัฐพงษ์ ยืนยันว่า พรรคยังคงทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเต็มรูปแบบ การสนับสนุน นายอนุทิน ครั้งนี้เป็นไปเพื่อจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจที่มีภารกิจจำกัดคือการยุบสภาและเปิดทางสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มิใช่การเข้าร่วมแบกรับภาระทางการเมืองในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล
ชี้เพื่อไทยไม่จริงใจต่อการเจรจา
สำหรับข้อเสนอของพรรคเพื่อไทยที่เคยระบุว่า หาก นายชัยเกษม ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี จะนำไปสู่การยุบสภาทันทีนั้น นายณัฐพงษ์ กล่าวว่าหากมีการเสนออย่างเป็นทางการก่อนพรรคประชาชนมีมติ อาจนำไปสู่การพิจารณา แต่จนถึงวันนี้กลับพบว่าเพื่อไทยให้ข่าวสับสนและไม่แสดงความจริงจังต่อการเจรจา จึงเชื่อว่าเป็นเพียงการชิงจังหวะทางการเมืองมากกว่าการหาทางออกอย่างแท้จริง