วันนี้ (9 กันยายน 2568 เวลา 10.00 น.) ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งบังคับโทษจำคุกอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร เป็นเวลา 1 ปี หลังพิจารณาคดีถึงที่สุด โดยมีการนำตัวส่งกลับเข้าเรือนจำทันที เหตุการณ์นี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทางการเมืองไทยอีกครั้ง เนื่องจากเกี่ยวพันกับคดีทุจริตที่เคยเป็นที่ถกเถียงมานาน และการพักโทษที่สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง
ศาลฎีกามีคำสั่งบังคับโทษถึงที่สุด
การนัดฟังคำสั่งครั้งนี้ ศาลฎีกาได้เรียก นายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และตัว นายทักษิณ เข้ารับฟังด้วย โดยเมื่อเวลาประมาณ 09.30 น. อดีตนายกรัฐมนตรีเดินทางมาพร้อมบุตรสาว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ เพื่อร่วมฟังการพิจารณา
ศาลฯ ใช้เวลาราว 1 ชั่วโมงครึ่ง ก่อนมีคำสั่งชัดเจนว่าให้นายทักษิณต้องรับโทษจำคุก 1 ปี ตามคดีที่มีคำพิพากษาถึงที่สุด และให้ดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายทันที
คดีเก่าที่นำไปสู่การบังคับโทษ
ต้นตอของคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อ ทักษิณ ชินวัตร เดินทางกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 และถูกควบคุมตัวเพื่อรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาใน 3 คดีสำคัญ ได้แก่
- คดีทุจริตที่ดินรัชดา จำคุก 3 ปี
- คดีหวยบนดิน จำคุก 2 ปี
- คดีปล่อยกู้ธนาคารกรุงเทพฯ กฤษดามหานคร จำคุก 3 ปี
รวมโทษทั้งหมด 8 ปี แต่ต่อมาได้รับพระราชทานอภัยโทษ ลดเหลือโทษจำคุก 1 ปี

การรักษาตัวและเสียงวิจารณ์จากสังคม
ในคืนวันที่ 22 สิงหาคม 2566 หลังเข้าคุมขัง นายทักษิณมีอาการป่วยและถูกส่งตัวไปพักรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจชั้น 14 จนถึงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 จึงได้รับการพักโทษ เหตุการณ์นี้นำมาซึ่งคำถามจากหลายฝ่ายว่าผู้ต้องขังรายนี้ป่วยจริงหรือเป็นการใช้สิทธิพิเศษ
นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อให้ตรวจสอบ แต่ศาลยกคำร้องเนื่องจากไม่ใช่คู่กรณี อย่างไรก็ตาม ศาลฎีกายังเดินหน้าสืบพยานบุคคลกว่า 30 ราย ครอบคลุมทั้งแพทย์ พยาบาลเวร เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ และอดีตรองนายกฯ นายวิษณุ เครืองาม
มติแพทยสภาและบทลงโทษแพทย์
จากการตรวจสอบภายหลัง แพทยสภามีมติลงโทษแพทย์ 3 รายที่เกี่ยวข้อง โดย 1 คนถูกตักเตือน และอีก 2 คนถูกพักใช้ใบอนุญาต เนื่องจากให้ข้อมูลทางการแพทย์ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงว่าอาการของนายทักษิณไม่ได้อยู่ในภาวะวิกฤต