พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ปรากฏตัวที่เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อประชุมร่วมกับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กว่า 140 คน เตรียมความพร้อมสู้ศึกเลือกตั้งใหญ่ครั้งหน้า ท่ามกลางกระแสข่าวลือว่าเจ้าตัวเตรียมวางมือทางการเมือง การเคลื่อนไหวครั้งนี้จึงสะท้อนสัญญาณชัดเจนว่า “ลุงป้อม” ยังคงเดินหน้าบทบาททางการเมือง ไม่ได้หายไปจากเวทีการเมืองไทยอย่างที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์

ลุงป้อม โผล่พัทยา

การเดินทางของ พล.อ.ประวิตร ที่เมืองพัทยา สร้างความสนใจอย่างมาก เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาเจ้าตัวค่อนข้างเก็บตัวเงียบ ไม่ได้มีบทบาทโดดเด่นเหมือนอดีต ภาพที่ปรากฏคือการรับประทานอาหารร่วมกับแกนนำท้องถิ่น โดยมี ปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา ทำหน้าที่ต้อนรับอย่างเป็นกันเอง สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำพรรคกับพื้นที่ฐานเสียงสำคัญ

พัทยาถือเป็นจุดหมายทางการเมืองและเศรษฐกิจที่สำคัญ ทั้งสำหรับประชาชนในพื้นที่และกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ การเลือกเมืองพัทยาเป็นสถานที่ประชุม จึงตอกย้ำถึงการมุ่งสร้างความมั่นคงทางการเมือง และขยายฐานเสียงในภาคตะวันออกที่ถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์

ประชุม ส.ส. เตรียมรับมือเลือกตั้งใหญ่

ไฮไลต์สำคัญของการเดินทางครั้งนี้คือการประชุมร่วมกับว่าที่ผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐ ถึง 140 คน ที่โรงแรม Tsix5 พัทยาเหนือ ซึ่งจัดขึ้นแบบเข้มข้นและต่อเนื่อง แม้จะเป็นเพียงการรวมตัวแบบภายใน แต่ถือเป็นการแสดงพลังและสร้างความมั่นใจให้กับสมาชิกพรรคว่าหัวหน้าพรรคยังคงทำงานเคียงข้าง

บรรยากาศในการประชุมเป็นไปอย่างคึกคัก มีการหารือถึงแนวทางการสู้ศึกเลือกตั้งใหญ่ครั้งหน้า ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่รวดเร็ว โดยพรรคพลังประชารัฐตั้งเป้าเสริมกำลังในพื้นที่ต่างๆ เพื่อตอบโต้การขับเคลื่อนจากพรรคคู่แข่ง การที่หัวหน้าพรรคเข้าร่วมด้วยตนเองจึงยิ่งตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในสนามเลือกตั้ง

สยบข่าววางมือ

ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา มีกระแสข่าวลือว่า พล.อ.ประวิตร อาจเตรียมวางมือทางการเมือง เนื่องจากไม่ค่อยปรากฏตัวในกิจกรรมสาธารณะ การเคลื่อนไหวครั้งนี้จึงเป็นการยืนยันว่าข่าวลือดังกล่าวไม่เป็นความจริง การนอนค้าง 1 คืนในพื้นที่และร่วมประชุมกับสมาชิกจำนวนมาก แสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการวางแผนอนาคตพรรค

นักวิเคราะห์การเมืองมองว่าการกลับมาของ “ลุงป้อม” ในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการสยบข่าวลือ แต่ยังเป็นสัญญาณถึงการจัดวางกลยุทธ์ใหม่ ที่อาจมีผลต่อดุลอำนาจในสภาและความต่อเนื่องของรัฐบาลในอนาคตอันใกล้