เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2568 เวลา 10.30 น. ที่ศาลอาญารัชดา นายธนดล สุวัณณะฤทธิ์ ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายของ นายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ หรือ เบน สมิธ ยื่นฟ้อง นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ทั้งคดีอาญาและคดีแพ่ง หลังถูกกล่าวหาในสภาเชื่อมโยงกับขบวนการสแกมเมอร์และทุนสีเทา โดยคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายกว่า 100 ล้านบาท พร้อมยืนยันว่าบุคคลที่ถูกอภิปรายไม่ใช่คนเดียวกับผู้ต้องหาคดีในอดีต และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจฟอกเงินหรือขบวนการคอลเซ็นเตอร์
ทีมทนาย “ธรรมนัส” เดินหน้ายื่นฟ้อง “โรม” คดีหมิ่นและเรียกค่าเสียหาย 100 ล้าน
นายธนดล สุวัณณะฤทธิ์ เปิดเผยว่าได้รับมอบอำนาจจาก นายเบน สมิธ ให้ดำเนินคดีทางกฎหมายต่อ นายรังสิมันต์ โรม หลังจากมีการอภิปรายในสภาฯ กล่าวหาเชื่อมโยงกับขบวนการสแกมเมอร์และทุนสีเทา โดยศาลอาญาได้ประทับรับฟ้องเรียบร้อย และนัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 15 ธันวาคม 2568
นายธนดล ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมกฎหมายของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระบุว่า การดำเนินการครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งทางการเมืองหรือการเมืองภายในรัฐบาล แต่เป็นการปกป้องชื่อเสียงของบุคคลที่ถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม พร้อมยืนยันว่า “ไม่ใช่คดีฟ้องปิดปาก (SLAPP)” แต่เป็นการขอพิสูจน์ข้อเท็จจริงในชั้นศาล

ยืนยัน “เบน สมิธ” ไม่เกี่ยวข้องขบวนการฟอกเงิน
นายธนดลกล่าวว่า ได้ตรวจสอบเอกสารและประวัติของ เบน สมิธ แล้วพบว่าไม่มีหมายจับหรือหมายแดงของอินเตอร์โพล และไม่เคยมีประวัติถูกดำเนินคดี โดยบุคคลที่เคยถูกกล่าวหาคดีฟอกเงินเมื่อปี 2564 คือ นายเบนจามิน เบอร์เกอร์ ซึ่งเป็นคนละคนกับ นายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ หรือ เบน สมิธ
เขาเสริมว่า นายเบน สมิธ ประกอบธุรกิจหลายประเภท ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะในสิงคโปร์ เช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ การลงทุน รวมถึงนายหน้าซื้อขายเรือและเครื่องบิน การอภิปรายที่มีการพาดพิงชื่อในที่สาธารณะและถูกเผยแพร่โดยสื่อต่างประเทศ ทำให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจ และนำไปสู่การตรวจสอบเข้มงวดจากหน่วยงานในสิงคโปร์
เผย “ทักษิณ” เป็นผู้แนะนำให้ “เบน สมิธ” รู้จัก “ธรรมนัส”
เมื่อถูกถามถึงความเชื่อมโยงระหว่าง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า กับ เบน สมิธ นายธนดลชี้แจงว่า ทั้งสองรู้จักกันมานานกว่าหนึ่งปี ผ่านการแนะนำของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเชิญให้ไปลงทุนที่ดูไบและประเทศไทย แต่ไม่มีการทำธุรกิจร่วมกันแต่อย่างใด
นายธนดลกล่าวเพิ่มเติมว่า ตนรู้จักนายเบน สมิธ มาระยะหนึ่ง และได้รับมอบหมายให้ดูแลเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน ทั้งในและต่างประเทศ โดยระบุว่า เบน สมิธ เคยเดินทางไปกัมพูชาและได้รับพาสปอร์ตในฐานะที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชา แต่ไม่เคยเข้าร่วมประชุมหรือมีบทบาททางการเมืองในประเทศนั้น
ชี้เอกสิทธิ์ ส.ส. คุ้มครองเฉพาะการประชุมปิด ไม่ครอบคลุมการอภิปรายต่อสาธารณะ
นายธนดลอธิบายเพิ่มเติมถึงประเด็นเอกสิทธิ์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่า ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 การคุ้มครองเอกสิทธิ์ในการอภิปรายจะมีผลเฉพาะในกรณีที่เป็นการประชุมลับ หากมีการถ่ายทอดสดและเอ่ยชื่อบุคคลที่สาม ทั้งในคดีแพ่งและคดีอาญา การคุ้มครองดังกล่าวจะไม่สามารถอ้างได้
เขาย้ำว่า การดำเนินคดีนี้เป็นไปตามกระบวนการกฎหมาย เพื่อพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้นในสภาฯ มีมูลความจริงหรือไม่ พร้อมทิ้งคำถามไปถึง นายรังสิมันต์ โรม ว่า หากข้อเท็จจริงไม่เป็นไปตามที่อภิปราย จะรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับชีวิตและธุรกิจของ เบน สมิธ อย่างไร
“ธรรมนัส” เตรียมเข้าชี้แจง กมธ. 9 ต.ค. – ไม่เดินหน้าฟ้องกลับ “โรม”
สำหรับความคืบหน้าทางการเมือง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ยืนยันว่าจะเข้าชี้แจงต่อ คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดน ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 9 ตุลาคม ซึ่งมี นายรังสิมันต์ โรม เป็นประธาน
ขณะเดียวกัน นายธนดลเปิดเผยว่าได้แนะนำ ร.อ.ธรรมนัส ไม่ให้ฟ้องกลับนายรังสิมันต์ เนื่องจากเป็นเพียงการตั้งคำถามในสภาเท่านั้น ซึ่งอาจไม่มีน้ำหนักทางกฎหมายเพียงพอ พร้อมย้ำว่า การดำเนินคดีครั้งนี้เป็นไปเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง มิใช่เพื่อปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น