วันที่ 14 ตุลาคม 2568 เวลา 15.00 น. ที่ศาลรัฐธรรมนูญ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ “บิ๊กโจ๊ก” อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เดินทางเข้ายื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้พิจารณาวินิจฉัยคุณสมบัติของ สุชาติ ตระกูลเกษมสุข ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่ามีที่มาขัดต่อรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 หลังพบความไม่ชอบมาพากลในการลงมติเลือกตั้งประธาน ป.ป.ช.
ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ชี้กระบวนการเลือกประธาน ป.ป.ช. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เปิดเผยภายหลังการยื่นคำร้องว่า การแต่งตั้ง สุชาติ ตระกูลเกษมสุข ให้ดำรงตำแหน่งประธาน ป.ป.ช. มีที่มาที่ขัดต่อ รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 233 และ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 14 และมาตรา 18 วรรคสอง ซึ่งกำหนดให้การเลือกประธาน ป.ป.ช. ต้องทำโดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้ง 7 คน
อย่างไรก็ตาม ในการลงมติเลือกนายสุชาติขึ้นดำรงตำแหน่งดังกล่าว มีกรรมการ ป.ป.ช. จำนวน 2 คนที่พ้นวาระไปแล้วแต่ยังคงมีส่วนร่วมในการโหวต ส่งผลให้ผลการเลือกตั้งอาจขัดต่อกฎหมายและหลักการแต่งตั้งที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะตำแหน่งประธาน ป.ป.ช. เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจสูงและมีผลกระทบโดยตรงต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนทั้งประเทศ
บิ๊กโจ๊ก ระบุว่า การกระทำดังกล่าวอาจเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ ซึ่งกระทบต่อ “ความมั่นคงแห่งสิทธิเสรีภาพของประชาชน” และสร้างคำถามต่อความน่าเชื่อถือขององค์กรปราบปรามการทุจริตที่ควรยึดมั่นในหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด

“บิ๊กโจ๊ก” ยันไม่มีปมส่วนตัว ยื่นเพราะต้องการความถูกต้องตามกฎหมาย
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ย้ำว่า การยื่นคำร้องในครั้งนี้ไม่ใช่เพราะมีความขัดแย้งส่วนตัวกับนายสุชาติ แต่เป็นการดำเนินการในฐานะประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการใช้อำนาจของประธาน ป.ป.ช. ที่มาจากกระบวนการที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
เขากล่าวว่า “ผมไม่ได้มีปัญหาส่วนตัวกับนายสุชาติ การมายื่นศาลรัฐธรรมนูญวันนี้เป็นไปตามหลักกฎหมาย เพื่อให้ตรวจสอบว่าการแต่งตั้งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะ ป.ป.ช. เป็นองค์กรปราบโกงที่มีอำนาจสูงสุด แต่กลับมีข้อสงสัยในกระบวนการสรรหาประธาน ซึ่งย่อมกระทบต่อความยุติธรรมโดยรวมของสังคม”
บิ๊กโจ๊ก ยังระบุว่า ตนเองเป็นผู้ที่อยู่ในกระบวนการตรวจสอบของ ป.ป.ช. แต่ไม่เคยคิดจะแทรกแซงหรือหลบเลี่ยงการพิจารณาคดี เพียงต้องการให้ทุกอย่างดำเนินไปตามหลักกฎหมายที่โปร่งใสและเป็นธรรม “ผมไม่ต้องการให้ใครอยู่เหนือกฎหมาย แม้แต่คนที่นั่งในตำแหน่งสูงสุดขององค์กรปราบโกงเองก็ตาม” เขากล่าว
ย้ำการตรวจสอบ ป.ป.ช. เป็นเรื่องของหลักนิติธรรม ไม่ใช่ความขัดแย้งส่วนบุคคล
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การ “เล่นการเมือง” หรือสร้างความขัดแย้งระหว่างบุคคล แต่เป็นการปกป้องหลักนิติธรรมและระบบตรวจสอบถ่วงดุลของประเทศ เพราะองค์กรอิสระอย่าง ป.ป.ช. ควรเป็นแบบอย่างของความโปร่งใสและตรวจสอบได้
เขาย้ำว่า หากศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่ากระบวนการแต่งตั้งประธาน ป.ป.ช. ไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ควรมีการทบทวนผลการแต่งตั้งทันที เพื่อไม่ให้เกิดการบิดเบือนอำนาจขององค์กรที่มีหน้าที่ปราบปรามการทุจริต ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของความเชื่อมั่นในระบบยุติธรรมไทย