วันที่ 15 ตุลาคม 2568 ที่อาคารรัฐสภา — อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ถึงภาพรวมเศรษฐกิจช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี โดยระบุว่าจะมีการสรุปสภาวะเศรษฐกิจและพิจารณามาตรการระยะสั้นถึงระยะกลาง แต่ไม่ขอตอบเรื่องระยะยาวเพราะรัฐบาลชุดนี้เหลือเวลาเพียง 4 เดือน พร้อมโยนให้ เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โชว์เสื้อ “คนละครึ่งพลัส” ให้สื่อดู แทนการตอบคำถามเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการ
นายกฯ ชี้เน้นมาตรการระยะสั้น บอกอยู่แค่ 4 เดือน ไม่ต้องถามเศรษฐกิจยาว
ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจประจำสัปดาห์ ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงแนวทางบริหารเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 โดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล ระบุว่า จะมีการสรุปภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจ พร้อมประเมินผลมาตรการกระตุ้นที่ได้ดำเนินการก่อนหน้า เช่น โครงการ คนละครึ่งพลัส ซึ่งเปิดให้ร้านค้าลงทะเบียนในวันแรก
นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลจะเน้นมาตรการระยะสั้นและระยะกลางเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โดยไม่ขอตอบถึงแนวทางเศรษฐกิจระยะยาว “เพราะอยู่เพียง 4 เดือน ก็ต้องเร่งทำสิ่งที่ช่วยประชาชนได้ทันที”

โยน รมต.คลังโชว์เสื้อ “คนละครึ่งพลัส” แทนคำตอบสื่อ
ระหว่างให้สัมภาษณ์ ผู้สื่อข่าวได้ถามถึงความคืบหน้าในวันแรกของการลงทะเบียนร้านค้าเข้าร่วมโครงการ คนละครึ่งพลัส นายอนุทินได้หันไปให้ เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยกเสื้อสัญลักษณ์โครงการขึ้นโชว์ต่อหน้าสื่อ พร้อมกล่าวสั้นๆ ว่า “ให้ภาพเล่าเรื่อง” ก่อนเดินขึ้นห้องประชุม
การกระทำดังกล่าวสร้างสีสันให้กับการให้สัมภาษณ์ในวันนี้ และสะท้อนท่าทีของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการเน้นผลสัมฤทธิ์ของโครงการมากกว่าการพูดเชิงเทคนิคทางเศรษฐกิจ
เลี่ยงตอบปม “รังสิมันต์ โรม” ตามหานายกฯ ปมแก๊งคอลเซ็นเตอร์
เมื่อถูกถามถึงกรณีที่ รังสิมันต์ โรม ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ออกมาโพสต์ตามหานายกรัฐมนตรี เพื่อเรียกร้องให้เร่งแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่สร้างความเสียหายทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะในกรณีของเกาหลีใต้ นายอนุทินเพียงตอบว่า “มีคนรับผิดชอบอยู่แล้ว” ก่อนเลี่ยงตอบคำถามและเดินเข้าห้องประชุมทันที
คำตอบดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่รัฐบาลกำลังถูกจับตามองจากสังคมและฝ่ายค้าน ถึงบทบาทในการจัดการขบวนการสแกมเมอร์และการช่วยเหลือคนไทยที่อาจตกเป็นเหยื่อในประเทศเพื่อนบ้าน