โฆษกรัฐบาลชี้แจงข้อตกลงพัฒนาแร่ Rare Earth เป็นไปตามกฎหมายไทย โปร่งใส ไม่ผูกพันทางกฎหมาย เน้นประโยชน์ต่อประเทศและต่อยอดเทคโนโลยี EV, แบตเตอรี่ และเซมิคอนดักเตอร์
วันที่ 28 ตุลาคม 2568 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงความร่วมมือด้านการพัฒนา แร่ Rare Earth ของไทยกับต่างประเทศ โดยยืนยันว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมายไทยและหลักธรรมาภิบาล ไม่ผูกพันทางกฎหมายและสามารถยกเลิกได้ หากดำเนินการสำเร็จจะช่วยต่อยอดเทคโนโลยีและสร้างประโยชน์ให้ประเทศ ทั้งนี้ไทยมีแร่ Rare Earth แต่กระจายตัวและความเข้มข้นต่ำ การนำเข้าเพื่อปรับความเข้มข้นก่อนส่งออกถือเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือ
จุดประสงค์และกรอบความร่วมมือ
นายธนกร ระบุว่า ข้อตกลงดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อศึกษาและพัฒนาแร่ Rare Earth ทั้งด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ โดยไม่ได้จำกัดประเทศหรือผูกพันทางกฎหมาย การดำเนินงานทุกขั้นตอนเป็นไปตามหลักกฎหมายไทยและหลักธรรมาภิบาล พร้อมยืนยันว่าข้อเสนอนี้มีประโยชน์ต่อประเทศและสามารถต่อยอดด้านเทคโนโลยี เช่น การผลิตแบตเตอรี่และเซมิคอนดักเตอร์
การส่งออกแร่ 13,000 ตันต่อปี เป็นการนำเข้ามาและปรับความเข้มข้นก่อนส่งออก และไม่ได้มีการลงทุนทำเหมืองในประเทศ เนื่องจากแร่ที่มีอยู่กระจายตัวและความเข้มข้นต่ำไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน
การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีชี้ว่า การศึกษาความร่วมมือนี้ได้คำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน โดยที่ผ่านมาแร่ในประเทศไทย เช่น แร่ดีบุกภาคใต้ มีความเข้มข้นต่ำและไม่สามารถนำไปใช้เชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบได้ ข้อตกลงนี้จะช่วยให้ไทยพัฒนาเป็นศูนย์กลางการลงทุนด้าน EV, แบตเตอรี่ และเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ หากการศึกษาประสบผลสำเร็จ
ความสมดุลทางการค้าระหว่างประเทศ
กรณีความตึงเครียดทางการค้า Rare Earth ระหว่างจีนและสหรัฐฯ นายธนกรย้ำว่ารัฐบาลไทยมีแนวทางสร้างความสมดุล โดยวางตำแหน่งประเทศให้เป็นกลาง ไม่ก่อความเสียหายต่อผลประโยชน์ชาติ และการนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาและพัฒนาเท่านั้น
ประเทศไทยเปิดโอกาสให้ประเทศอื่นเข้ามามีส่วนร่วมในอนาคต โดยอาจมีข้อตกลงกับออสเตรเลียซึ่งเป็นผู้ส่งออกแร่เข้ามาในไทย ขณะเดียวกันทุกขั้นตอนปฏิบัติตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญ เพื่อความโปร่งใสและประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ
กระบวนการและความโปร่งใส
โฆษกยืนยันว่าการลงนามข้อตกลงครั้งนี้ผ่าน มติคณะรัฐมนตรี และปรึกษาทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องแล้ว พร้อมย้ำว่าประชาชนไม่ควรมองเป็นการ “ลักไก่” เพราะทุกอย่างดำเนินการตามกฎหมายและมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ เป้าหมายสูงสุดคือประโยชน์ของประเทศชาติ


