อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้าชี้แจง กมธ. ศึกษายกเลิก MOU 43-44 จวกนโยบายรัฐบาลย้อนแย้ง ระหว่างทำประชามติและตั้ง กมธ. ศึกษา ย้ำไทยเคยถูกคำตัดสินศาลโลก “ปิดปาก”
วันที่ 28 ตุลาคม 2568 ที่อาคารรัฐสภา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาข้อดีข้อเสียของการยกเลิก MOU 43-44 เพื่อแก้ปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชา โดยตั้งข้อสังเกตถึงความ “ย้อนแย้ง” ของรัฐบาล ที่ประกาศว่าจะทำประชามติ แต่กลับให้ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาในเวลาเดียวกัน พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลกำหนดทิศทางนโยบายต่างประเทศอย่างชัดเจน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้าทำงานได้
“อภิสิทธิ์” มึน รัฐบาลพูดเรื่องประชามติ แต่ตั้ง กมธ.ศึกษาควบคู่
นายอภิสิทธิ์ กล่าวก่อนเข้าชี้แจงว่า รัฐบาลในอดีตเคยมีแนวคิดและการดำเนินการเพื่อยกเลิก MOU ปี 2544 โดยตนคาดว่าการประชุมในวันนี้จะมีการสอบถามถึงเหตุผลและวิธีคิดในช่วงนั้น อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกลับเกิดความสับสน เนื่องจากรัฐบาลได้ระบุในนโยบายว่าจะจัดทำประชามติเรื่องนี้ แต่ทั้ง สองสภา กลับตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาศึกษาควบคู่กันไป
เขาชี้ว่าแนวทางเช่นนี้อาจสร้างความเข้าใจคลาดเคลื่อนให้กับประชาชนและหน่วยงานที่ต้องรับผิดชอบ เพราะยังไม่ชัดเจนว่า การดำเนินการของรัฐบาลในระยะนี้สอดคล้องกับนโยบายที่ประกาศไว้หรือไม่ จึงควรเร่งชี้แจงทิศทางให้ชัด เพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถทำงานไปในทิศทางเดียวกัน
ย้ำ “ไทย” เคยถูกศาลโลกใช้คำตัดสิน “ปิดปาก” จากคดีเขาพระวิหาร
ในช่วงการชี้แจงต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการ ซึ่งมี นายนพดล อินนา สมาชิกวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธาน กมธ. ได้สอบถามถึงแนวทางการศึกษาข้อตกลง MOU 43-44 และขอให้ชี้แจงบริบททางการเมืองในสมัยที่ นายอภิสิทธิ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
อดีตนายกรัฐมนตรีระบุว่า ปัญหาความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชาในขณะนั้นสืบเนื่องจากรัฐบาลก่อนหน้า 2 ชุด ที่ยินยอมให้กัมพูชานำเรื่อง “ปราสาทพระวิหาร” ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ทำให้เกิดข้อขัดแย้งเรื่องเขตแดน โดยคำตัดสินของ ศาลระหว่างประเทศ (ศาลโลก) เมื่อปี 2505 ระบุเพียงว่าตัวปราสาทอยู่ในดินแดนกัมพูชา แต่ไม่ได้ระบุแนวเขตแดนอย่างชัดเจน
เขากล่าวต่อว่า ปัญหาความไม่ชัดเจนนี้เป็นผลสืบเนื่องจาก “หลักกฎหมายปิดปาก” ที่ศาลโลกใช้เป็นเหตุผลในคำวินิจฉัย ซึ่งทำให้ฝ่ายไทยต้องระมัดระวังในการดำเนินการทุกขั้นตอน เพราะหากนิ่งเฉยต่อการกระทำใดของกัมพูชา อาจถูกตีความว่า “ยอมรับโดยปริยาย” และสร้างปัญหาให้ไทยในระยะยาว
เสนอรัฐบาลกำหนดท่าทีให้ชัดก่อนเดินหน้าทำประชามติ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวย้ำว่า ก่อนจะมีการทำประชามติ รัฐบาลควรจัดเตรียมข้อมูลให้ประชาชนเข้าใจสถานการณ์อย่างรอบด้าน ขณะเดียวกัน หน่วยงานด้านการต่างประเทศควรได้รับความชัดเจนเชิงนโยบาย เพื่อไม่ให้การทำงานหยุดชะงักหรือรอการตัดสินใจทางการเมือง
เขายังเสนอให้รัฐบาลยึดหลักข้อเรียกร้อง 4 ประการ ที่ฝ่ายไทยต้องการให้กัมพูชาดำเนินการก่อนเริ่มการเจรจาเรื่องอื่น ซึ่งเป็นจุดร่วมที่ทุกฝ่ายเห็นพ้อง เพื่อป้องกันความเสียเปรียบในอนาคต

 
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
                                
