ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ไม่รับวินิจฉัยกรณี MOA ระหว่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชน เหตุหลักฐานไม่เพียงพอและไม่เข้าข่ายใช้สิทธิล้มล้างการปกครองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับคำร้องให้วินิจฉัยกรณีบันทึกข้อตกลง (MOA) ระหว่าง นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ซึ่งถูกกล่าวหาว่าอาจเข้าข่ายใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 โดยการประชุมเมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2568 ศาลระบุว่าไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานเพียงพอรองรับข้อกล่าวหา ส่งผลให้คำร้องดังกล่าวไม่เข้าเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญและไม่อาจรับไว้พิจารณาต่อได้
ศาลรัฐธรรมนูญชี้ MOA เป็นเพียงการแสดงเจตจำนงทางการเมือง
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้องหลังผู้ร้องระบุว่าการลงนามใน MOA ระหว่างหัวหน้าพรรคทั้งสองพรรคเป็นการจัดวางเงื่อนไขเพื่อสนับสนุนให้ผู้ถูกร้องที่หนึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยมีข้อตกลงให้พรรคประชาชนทำหน้าที่ฝ่ายค้านเพื่อผลักดันกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จนอาจเข้าข่ายการได้มาซึ่งอำนาจฝ่ายบริหารที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและมีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางการเมืองล่วงหน้า
อย่างไรก็ดี ศาลระบุหลังการอภิปรายว่า MOA ดังกล่าวเป็นเพียง “การประกาศเจตจำนงทางการเมืองร่วมกัน” ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สามารถเกิดขึ้นได้ตามปกติในระบบรัฐสภา และไม่ปรากฏพยานหลักฐานอื่นที่ชี้ชัดว่าเป็นการใช้อำนาจเพื่อล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง
หลักฐานไม่เพียงพอ ไม่เข้าเงื่อนไขมาตรา 49
คำร้องอ้างอิงรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ซึ่งระบุห้ามมิให้ผู้ใดใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง อย่างไรก็ตาม อัยการสูงสุดได้แจ้งผลพิจารณาก่อนหน้านี้ว่า การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองไม่เข้าข่ายการฝ่าฝืนมาตราดังกล่าว และไม่มีข้อเท็จจริงเพียงพอสนับสนุนว่าเป็นความพยายามล้มล้างอำนาจรัฐ
ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับเรื่องไว้เพื่อวินิจฉัย พร้อมระบุว่าเมื่อคำร้องหลักไม่สามารถรับไว้พิจารณาได้ คำขออื่นที่เกี่ยวเนื่องย่อมถือเป็นอันตกไปโดยปริยาย ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกระบวนการพิจารณาคดีตามรัฐธรรมนูญ


