ภายหลังการประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 ที่มีมติแก้ไขมาตรา 256/28 ให้ วุฒิสภา มีส่วนร่วมหนึ่งในสาม ส่งผลให้พรรคประชาชนร่วมลงชื่อญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลตามมาตรา 151 ก่อนที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี จะชิงยุบสภาในคืนเดียวกัน ล่าสุด ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ออกมาโพสต์ตำหนิว่าพรรคประชาชน “พลาดซ้ำ” เพราะเชื่อใจพรรคภูมิใจไทย ทั้งที่สัญญาณชัดเจนว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะไม่รักษาคำพูดท่ามกลางสถานการณ์การเมืองตึงเครียด

ชูวิทย์ตำหนิพรรคประชาชนอ่านเกมพลาด ซ้ำถูกหลอกทางการเมือง
ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ระบุว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นการสะท้อนว่าพรรคประชาชนขาดประสบการณ์ทางการเมือง และยังมองไม่ออกว่าพรรคภูมิใจไทยจะไม่รักษาคำมั่นตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะในประเด็นการแก้รัฐธรรมนูญและการทำข้อตกลงทางการเมืองหรือ MOA ที่เคยเป็นข่าวก่อนหน้านี้ เขาชี้ว่าไม่มีประเทศใดใช้วิธี “หวังแก้รัฐธรรมนูญแลกเก้าอี้รัฐบาล” แล้วปล่อยให้พรรคของตนกลายเป็นฝ่ายค้านตั้งแต่วันแรก
ชูวิทย์ยังเสริมว่า การคาดหวังว่าภายในสี่เดือนประเทศจะได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นเพียง “ความฝันทางการเมือง” ที่ห่างไกลจากความจริง อีกทั้งสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาที่กำลังตึงเครียดควรเป็นเหตุผลให้รัฐบาลมีเสถียรภาพมากกว่า สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าพรรคภูมิใจไทยเลือก “ฉีก MOA” และยุบสภาหนีอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทำให้ประชาชนตั้งคำถามถึงความจริงใจและความรับผิดชอบทางการเมือง
เผยความไม่ไว้ใจนักการเมืองรุ่นเก่า ย้ำพรรคประชาชนเสียคะแนนฟรี
ชูวิทย์กล่าวว่าพรรคประชาชนประเมินความเสี่ยงผิดพลาด โดยเชื่อว่าหากพรรคภูมิใจไทยแปรพักตร์จะทำให้คะแนนนิยมตกลง แต่ผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม เขามองว่าพรรคภูมิใจไทย “ได้ประโยชน์ฟรี” ขณะที่พรรคประชาชนกลายเป็นผู้เสียเปรียบจากการตัดสินใจที่ไม่รอบคอบ และอาจส่งผลกระทบต่อคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
เขายังยกตัวอย่างเหตุการณ์ก่อนหน้า ตั้งแต่กรณี MOU จัดตั้งรัฐบาลสมัย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จนถึง MOA เลือกนายกฯ ใหม่ของ เท้ง พรรคประชาชน ที่ถูกหักหลังซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยชูวิทย์ระบุว่า “พรรคประชาชนหาเสียงเก่ง แต่ขาดประสบการณ์ทางอำนาจจริง” ทำให้คะแนนเสียงกว่า 14 ล้านเสียงอาจถูกใช้ไปโดยสูญเปล่า
จวกรุนแรง ‘ตีเช็คเปล่า’ ชี้ประชาชนรู้ทันการเมืองเก่ามานานแล้ว
ชูวิทย์ยังระบุว่า การยอมให้พรรคภูมิใจไทยกำหนดกติกาทางการเมืองเหมือน “ตีเช็คเปล่า” เปิดโอกาสให้พรรคฝ่ายรัฐบาลใช้ทรัพยากรและโยกย้ายข้าราชการเพื่อความได้เปรียบในการเลือกตั้งครั้งใหม่ เขาย้ำว่า นักการเมืองรุ่นเก่า “ไว้ใจไม่ได้” และประชาชนส่วนใหญ่ทราบดีว่าพรรคภูมิใจไทยอาจไม่รักษาคำพูดตั้งแต่แรก
เขาทิ้งท้ายว่า มีเพียงพรรคประชาชนที่ยังไม่รู้ทันเกมการเมืองและถูกหลอกซ้ำ แต่เป็นบทเรียนที่สำคัญในยุคที่การเมืองเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และผู้มีสิทธิเลือกตั้งจับตาทุกการเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด


